EV จีน ครบดีลผลิต 9 หมื่นคัน ห่วงเศรษฐกิจไม่ฟื้น ‘ซัพพลายล้น’
สรรพสามิต เผยปี 2567 ค่ายรถเริ่มเดินสายผลิตอีวีในไทยชดเชย EV 3.0 คาดแตะ 9 หมื่นคัน ชี้ภูมิรัฐศาสตร์กีดกันการค้าหนุนไทยขึ้นเป็นฐานผลิตรถยนต์ภูมิภาค ส.อ.ท.เผย 5 เดือน ยอดผลิต 5,000 คัน หวั่นพลาดเป้า “สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย” ห่วงเกิดโอเวอร์ซัพพลาย
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบัน กระตุ้นตลาดอีวีในประเทศไทย และทำให้ยอดจดทะเบียนรถใหม่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยรายงานจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ณ วันที่ 31 พ.ค.2567 มียอดยานยนต์ประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสม 175,316 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 168%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กระแสวิกฤติโลกร้อนเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งรถไฮบริด และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตเป็นที่นิยมมากขึ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย 30@30 ให้มีการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2030 เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งประเทศไทยในการเป็นฐานผลิตยานยนต์ในภูมิภาค
“ที่ผ่านมาไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก มียอดการผลิตรถยนต์ปีละ 1.6-1.8 ล้านคัน แต่ขณะนี้ โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ทั้งระบบเอไอ และแบตเตอรี่ ซึ่งโจทย์สำคัญคือ การดึงการลงทุนใหม่ให้เข้ามา ทั้งค่ายรถจีน และยุโรป เพื่อรักษาการเป็นฐานผลิตรถยนต์ของไทย”
โดยการออกมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก (EV 3.0) ตามมาด้วยมาตรการ EV 3.5 ซึ่งกรมสรรพสามิตถือเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน และกระตุ้นตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยมาตรการทางภาษี ลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถอีวีจาก 8% เหลือ 2%
นอกจากนั้นรัฐบาลยังจ่ายเงินอุดหนุนให้ค่ายรถยนต์ที่เซ็นสัญญาเข้าร่วมโครงการ สูงสุดคันละ 150,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีการผลิตรถอีวีในประเทศ ตามจำนวนรถที่นำเข้ามาในปี 2565-2566 ภายในปี 2567 ในอัตรา 1 ต่อ 1 และในปี 2568 อัตรา 1 ต่อ 1.5
ทั้งนี้ มีค่ายรถยนต์ที่เซ็นสัญญาเข้าร่วมมาตรการ EV 3.0 เป็นจำนวน 23 บริษัท ซึ่งมีการนำเข้ารถอีวีกว่า 100,000 คัน
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในปี 2567 จะเป็นปีแรกที่ค่ายรถอีวีที่เซ็นสัญญาจะเริ่มเปิดโรงงานเพื่อผลิตชดเชย ซึ่งคาดว่าจะมียอดการผลิตรถอีวีในประเทศปีนี้ 8-9 หมื่นคัน และจะเริ่มเป็นปีแรกที่ไทยสามารถส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศได้ และเป็นการสะท้อนการเป็นฐานผลิตรถยนต์ของไทยเช่นเดียวกับที่เคยผลิตรถยนต์สันดาป
ของบกลาง 7,000 ล้าน เพิ่มเงินหนุน EV
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วมาตรการ EV 3.0 ซึ่งสิ้นสุดลงในปี 2566 ใช้เงินอุดหนุนทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านบาท โดยสรรพสามิตได้เสนอของบประมาณ 7,000 ล้านบาท จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นกับสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ เตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำหรับจ่ายเงินอุดหนุนให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้รับชดเชยอีก 35,000 คัน ทั้งนี้ได้จ่ายอุดหนุนผู้ประกอบการไปแล้ว 40,000 คัน กว่า 7,000 ล้านบาท
ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตอีวีในไทยกว่า 40,000 ล้านบาท และในปี 2569 จะมีเม็ดเงินลงทุนผลิต และประกอบแบตเตอรี่รถอีวีกว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งได้เข้าไปพูดคุยกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้ว
“การให้สิทธิประโยชน์ EV 3.0 ลดภาษี และให้เงินอุดหนุนกับค่ายรถยนต์ โดยกำหนดว่าจะต้องใช้แบตเตอรี่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถอีวีที่ผลิตในประเทศภายในปี 2569 นอกจากนั้น ในสัญญาสรรพสามิตยังระบุไว้ว่าจะต้องใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศด้วย ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนเข้ามาอีก 5,000 ล้านบาท”
ค่ายรถลงนามรับมาตรการอีวี 3.5 แล้ว 8 ราย
สำหรับมาตรการ EV 3.5 จะมีผลใช้บังคับในช่วงปี 2567-2570 โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะ ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังคงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ในการลดอัตราภาษีสรรพสามิต ลดอัตราอากรขาเข้า และให้เงินอุดหนุนสำหรับค่ายรถยนต์บางค่ายที่เข้าร่วมมาตรการแรกไม่ทัน รวมทั้งค่ายรถเดิมที่สนใจ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เซ็นสัญญาแล้ว 8 บริษัท
ทั้งนี้ เงินอุดหนุนสำหรับมาตรการ EV 3.5 จะลดลงจากเดิม และจะเป็นไปตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่ โดยในปี 2567 ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดคันละ 100,000 บาท ปี 2568 ลดเหลือ 75,000 บาท ปี 2569 เหลือ 50,000 บาท และปี 2570 อยู่ที่ 50,000 บาท
“มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเราได้ประโยชน์ในการดึงเม็ดเงินลงทุนของเทคโนโลยีใหม่เข้ามาตั้งฐานการผลิต รวมทั้งการลงทุนเรื่องแบตเตอรี่ และชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์ไฟฟ้าตอบโจทย์รัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งสรรพสามิตถือเป็นหน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนนโยบายและขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ แม้จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของสรรพสามิตลดลง”
เตรียมผลิตรถอีวีพวงมาลัยซ้ายลุยส่งออก
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ล่าสุดที่ได้มีการหารือกับค่ายรถยนต์ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเตรียมวางแผนในการผลิตรถอีวีพวกมาลัยซ้ายเพิ่มเติมเพื่อส่งออก จากเดิมที่ผลิตพวงมาลัยขวา เนื่องจากสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจโลก จากผลของการกีดกันทางการค้าระหว่างสองขั้วอำนาจ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทย ด้วยเงื่อนไขกฎของแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะต้องใช้ Local Content ไม่ต่ำกว่า 40%
“ทั้งนี้ การที่ไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 30@30 หรืออี 6 ปี ต้องมีการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศประมาณ 7.5 แสนคัน จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดอีวีโลก ซึ่งในมุมมองผมคิดว่าเป็นไปได้ ด้วยความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ของสองขั้วอำนาจ รถจากเมืองไทยที่มี Local centent ไม่ต่ำกว่า 40% จะทำให้ไทยเป็นจุดที่ใช้เป็นฐานการผลิตอีวีเพื่อส่งออกไปทั่วโลก”
ส.อ.ท.เผย 5 เดือนผลิต EV 5 พันคัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากดูจากตัวเลข 5 เดือนแรกของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยอยู่ที่เฉลี่ยกว่า 5,000 คัน ดังนั้น ส.อ.ท.จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจากผู้ผลิตที่ลงนามรับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐว่าจะมีความพร้อมในการผลิตได้ตามเป้าหมายหรือไม่
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่จะทำให้เป้ากำลังผลิตอยู่ในระดับ 90,000 คัน คือ แบตเตอรี่ ซัพพลายเชนต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้อาจจะต้องมีการนำเข้า เนื่องจากที่เห็นชัดเชนมีเพียงการตั้งโรงงานของ BYD ที่มาซื้อที่ดินตั้งแต่ปี 2565
รวมทั้งเมื่อมีการเปิดโรงงานอย่างเป็นทางการก็ยังไม่ได้แถลงตัวเลขกำลังการผลิตที่ชัดเจน ดังนั้น จะต้องดูผู้ผลิตรายอื่นด้วย หากมีความพร้อมทั้งซัพพลายเชนก็จะสามารถผลิตได้ถึงตามเป้าหมายของสรรพสามิตได้
อย่างไรก็ตาม แม้อุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบโดยเฉพาะรถกระบะที่สัดส่วนลดลงกว่า 62% แต่รถยนต์ไฮบริดยังได้รับความนิยมทั้งในอเมริกา จีน ซึ่งตอบโจทย์ที่กินน้ำมันน้อยในภาวะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น อีกทั้งยังปล่อยไอเสียน้อยลงตอบโจทย์กรีนคาร์บอน โดย GDP ไทยโตเพียง 1.5% ในขณะที่หนี้เสีย (NPL) โตสูงกว่าเศรษฐกิจที่ 3% มารอดูว่าจะชำระหนี้ได้เพิ่มหรือไม่ ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 สถาบันทางการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ปีที่แล้วยอดขายในประเทศ 7.4 แสนคัน รอดูปีนี้จะเหลือเท่าไร
ย้ำปี 2567 ประเทศไทยพร้อมผลิต-ส่งออกรถอีวี
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยอดรถอีวีที่จดทะเบียนสะสมกว่า 1.7 แสนคัน ถือว่ามีการเติบโต 168% และขณะนี้เริ่มทยอยผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ปีนี้ผลิตแล้วกว่า 5 พันคัน และจะเริ่มเพิ่มขึ้นในเดือนอื่นๆ ต่อไป ประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายในเพื่อส่งออก รวมทั้งเป็นฐานการผลิตรถอีวีเพื่อส่งออกและจะเติบโตมากกว่าในอดีต ซึ่งปีที่แล้วส่งออกรถยนต์สันดาปภายในกว่า 1.1 ล้านคัน ปีนี้อาจจะส่งออกรถอีวีในไทยด้วย
นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า ประเทศไทยมีนโยบายอีวี 3.0 โดยปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ค่ายรถอีวีที่นำรถเข้าจะต้องผลิตชดเชยตามสัดส่วนที่กำหนด ดังนั้น ในตรงนี้จะเป็นเรื่องของกฏระเบียบที่วางไว้ตั้งแต่ต้นตามสถานการณ์ปกติ เมื่อสถานการณ์อาจจะช้าลงในเรื่องของตลาดจึงต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะจะทำให้ตัวเลขตรงนี้อาจมีความกังวลว่าถ้าต้องผลิตตามที่ทำสัญญา
“หากผู้ผลิตผลิตได้ตามเป้าแต่สถานการณ์เศรษฐกิจหากไม่ดีขึ้น จะเกิดโอเวอร์ซัพพลายจากสต๊อกที่มีอยู่แล้วหรือไม่ และเมื่อรวมสต๊อกเดิมกับที่ต้องผลิตใหม่ตามที่ตกลงก็จะยิ่งทำให้สต๊อกสูงกว่าที่ปกติ” นายกฤษฎา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ นำเสนอทุกภาคส่วนว่าอาจจะต้องร่วมกันคิด เพราะหากต่างคนต่างคิด และต่างคนต่างวางแผน ต่างคนก็ต่างไปในทิศทางของตนเองหมดจะกลายเป็นว่าถ้าไม่สร้างสถานการณ์ของการปรับตัวของเศรษฐกิจก็อาจจะวางแผนผิดพลาด นำไปสู่สต๊อกที่ไม่สมดุลกับกำลังซื้อของตลาด
ฝากภาครัฐดูแลกำลังซื้อในประเทศ
นายกฤษฎา กล่าวว่า ขณะนี้ ค่ายรถยนต์ที่จะมาลงทุนประกอบ EV ในไทยมีราว 7-8 ราย ที่ยื่นขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกรมสรรพสามิต ดังนั้น กำลังการผลิตจะอยู่ที่เฉลี่ยปีละกว่า 400,000 คัน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นประเทศไทยยังมีแพลนนิ่งเฟสที่เหนือกว่า แต่สิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลให้ดีคือ กำลังซื้อในประเทศอาจจะมีสัญญาณที่ไม่ค่อยดีในช่วงนี้
“กำลังซื้อของเราลดลงเกิดจากอะไร ใช่การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ช้าหรือไม่ เพราะเป็นเงินระดับแสนล้านบาท ที่ไม่ลงมาอัดฉีดในระบบอาจทำให้เกิดปัญหานี้ได้ ดังนั้น เม็ดเงินจะเป็นตัวเคลื่อนเศรษฐกิจช้าลงได้ จึงอาจต้องรอดูอีกสักระยะ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดตามสถานการณ์มองว่าสัญญาณช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น โดย GDP จะโตที่ 2.6% และปีหน้าจะโต 3% จากปีที่แล้วที่ 1.9%”
“แม้ยอดผลิตอีวีอาจจะเพิ่มขึ้นเพราะปีนี้ผลิตเป็นปีแรก แต่ทั้งภาพรวมตัวเลขการผลิตก็ลดลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับ 5 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ส่วนตัวเลขจดทะเบียนก็คล้ายๆ กัน อาจจะขึ้นในส่วนของ BEV และไฮบริด” นายกฤษฎา กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์