เกษตรฯ พร้อม เริ่ม ประกันภัยนาข้าว ปี 67 คุ้มภัย 21 ล้านไร่
กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการ ประกันภัยข้าวนา ปี 67 คุ้มภัยครอบคลุม 21 ล้านไร่ มีให้เลือก 2 แบบ ทั้งรัฐอุดหนุนเบี้ยประกัน และแบบสมัครใจ พร้อมเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยทันที
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการประกันภัยทางการเกษตรของประเทศ (ประกันภัยนาข้าว) ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป สศก. ได้พัฒนา และสร้างระบบประกันภัยให้ เกษตรกรไทย สุขใจถ้วนหน้า เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร
ล่าสุดในวันนี้ (16 กรกฎาคม 2567) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ โครงการประกันภัยข้าวนา ปี ปีการผลิต2567เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติให้แก่เกษตรกร และเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับโครงการ ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี จำนวน 21 ล้านไร่ ซึ่งมีการประกันภัยให้ 2 ส่วน ได้แก่ภาคพื้นฐานซึ่งภาครัฐให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย และภาคสมัครใจซึ่งให้เกษตรกรซื้อประกันภัยเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
ภาคพื้นฐาน (Tier 1) กรณีเกษตรกรลูกค้า สินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ธ.ก.ส. พื้นที่เป้าหมาย 15 ล้านไร่ อัตราเบี้ยประกัน 115 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยภาครัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 69 บาทต่อไร่ ธ.ก.ส. อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 46 บาทต่อไร่
ซึ่งปีนี้มีรูปแบบที่แตกต่างจากการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา คือ มีการกำหนดพื้นที่นำร่อง689 อำเภอทั่วประเทศเป้าหมาย 5 ล้านไร่ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย โดยมีอัตราค่าเบี้ยประกันภัย 70 บาทต่อไร่ ภาครัฐอุดหนุน 65 บาทต่อไร่ และเกษตรกรร่วมจ่าย 5 บาทต่อไร่
สำหรับพื้นที่เสี่ยงปานกลางและเสี่ยงสูงเป้าหมาย 5 แสนไร่ อัตราเบี้ยประกัน 199 และ 218 บาทต่อไร่ โดยภาครัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 69 บาทต่อไร่ และเกษตรกรจ่ายส่วนที่เหลือเอง ส่วนค่าสินไหมทดแทน (Tier 1)จากภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น อากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า วงเงินคุ้มครอง 1,190 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 595 บาทต่อไร่
ภาคสมัครใจ (Tier 2) เกษตรกรซื้อประกันภัยเพิ่มเติม พื้นที่เป้าหมาย 5 แสนไร่ อัตราเบี้ยประกันพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ 27 บาทต่อไร่ เสี่ยงภัยปานกลาง 60 บาทต่อไร่ และเสี่ยงภัยสูง 110 บาทต่อไร่ค่าสินไหมทดแทน (Tier 2)จากภัยธรรมชาติ 7 ภัย วงเงินคุ้มครอง 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 120 บาทต่อไร่
ทั้งนี้ กำหนดวันเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ และกำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคตะวันตก จำนวน 63 จังหวัด สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 สำหรับภาคใต้สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
“ระบบประกันภัยการเกษตร เป็นเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลนำมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรเมื่อประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรฯ จะได้มีการพัฒนาขยายผลไปยังสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ ครอบคลุมด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง เพื่อสร้างความมั่นใจ และความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกร”