พาณิชย์ เผย ผลสำเร็จเยือน”คาซัคสถาน” จับมือขยายโอกาสเศรษฐกิจการค้า 2 ประเทศ
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผย ผลสำเร็จเยือน”คาซัคสถาน”13-18 ส.ค. ลงนามความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า พร้อมศึกษาเส้นทางโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกขนส่งสินค้าไทย ขณะที่การตั้งสำนักงานการค้าต่างประเทศในคาซัคสถานจะชัดเจน 3 เดือนจากนี้
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยผลสำเร็จหลังเดินทางเยือนสาธารณรัฐคาซัคสถานในระหว่างวันที่ 13-18 ส.ค.ว่า การเยือนสาธารณรัฐคาซัคสถานก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับคาซัคสถานของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งการเดินทางมาเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของไทยกับคาซัคสถานในรอบ 17 ปี
โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและคาซัคสถาน (Agreement on Trade and Economic Cooperation between Thailand and Kazakhstan) ระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ของไทย กับ กระทรวงการค้าและบูรณาการของคาซัคสถานซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของไทยในการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าในสาขาต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และช่วยเพิ่มพูนการค้าขยายการลงทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันในอนาคตได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ไปดูระบบขนส่งโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ “ DAMU Industrial and LogisticsCenter”ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมเอกชนแห่งแรกของประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 2,100,000 ตารางเมตร โดยให้บริการด้านการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ขนาดกว่า 300,000 ตารางเมตร ซี่งระบบขนส่งโลจิสติกส์ถือว่ามีความสำคัญมากในลำดับต้นๆของการค้า
โดยเส้นทางการขนส่งจากไทยมายังคาซัคสถานมี 3 เส้นทาง คือ ไทยผ่านไปรัสเซียเข้าคาซัคสถาน ไทยผ่านจีนเข้าคาซัคสถาน และเส้นทางไทยผ่านอิหร่านเข้าคาซัคสถาน โดยข้อมูลที่ได้เห็นโอกาสที่จะกระจายสินค้าไทยมายังตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพมากในภูมิภาคนี้ และพร้อมจะเชื่อมโยงภาคเอกชนด้านโลจิสติกส์ของไทย กับ DAMU เพื่อประเมินเส้นทางการขนส่งที่ดีที่สุดจากไทยไปคาซัคสถาน ซึ่งขณะนี้ใช้เวลาราว 45 วัน ผ่านจีนทางเรือและรถไฟ ในอนาคตคาดว่าจะสามารถลดระยะเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง
นายภูสิต กล่าวว่า สำหรับตลาดเอเชียกลาง ถือเป็นตลาดใหญ่มี 5 ประเทศ มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน โดยคาซัคสถานมีประชากรเกือบ 30 ล้านคน เศรษฐกิจกำลังพัฒนาและเติบโตจึงน่าจะเป็นโอกาสของไทยในการเจาะตลาดโดยสินค้าไทยหลายอย่างที่ส่งออกมายังคาซัคสถานมีการขยายตัวมาก แม้ว่ามูลค่าการค้าไม่มากแต่ในช่วง 6 เดือนของปีนี้ขยายตัวสูงถึง 300 % ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง สบู่ สปา นอกจากนี้ยังมีสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแปรรูป สิ่งปรุงรสก็เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการเข้าจำหน่ายในคาซัคสถานนอกเหนือจากชิ้นส่วนยานยนต์
ปัจจุบันสินค้าในคาซัคสถานที่นำเข้าส่วนใหญ่มาจากจีน รัสเซีย เป็นหลัก แต่สินค้าไทยมีศักยภาพที่จะเจาะตลาดคาซัคสถานได้ โดยจะชูเรื่องสินค้าคุณภาพ น่าเชื่อถือ เชื่อว่าจะแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
สำหรับการเปิดสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคต.)ทางกรมมีแผนที่จะเปิดให้ได้ในเร็วๆนี้เพื่อเป็นตัวเชื่อมประสานการค้าของไทยกับคาซัคสถาน ซึ่งจากการเดินทางในครั้งนี้ก็ได้ข้อมูลจากหลายภาคส่วน ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นทั้งเมืองอัสตานาที่เป็นเมืองหลวงใหม่ และเมืองอัลมาตี เมืองหลวงเก่า
โดยอัลมาตีเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้า มีสายการบินตรงจากไทยทำให้สะดวกต่อการทำธุรกิจการค้า ขณะที่เมืองอัสตานามีความทันสมัย เป็นศูนย์กลางการขนส่ง สื่อสาร อย่างไรก็ตามคงต้องศึกษารายละเอียดถึงกฏ ระเบียบการค้าของทั้ง 2 เมืองก่อนว่าเมืองใดมีความเหมาะสม จะสามารถเปิดได้หรือไม่ คาดว่าหลังจากนี้ 2-3 เดือนน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าจะเปิดได้ที่เมืองไหน เพราะเรามีข้อมูลแล้ว
“จะสรุปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อโอกาสทางการค้าของไทย แม้ว่ามูลค่าการค้าไทยในคาซัคสถานไม่มาก แต่เศรษฐกิจของคาซัคสถานกำลังเติบโตและขยายตัว เราไม่ควรตกขบวนเพราะขณะนี้ประเทศมาเลเซียและญี่ปุ่นตั้งสำนักงานทางการค้าแล้ว จึงเป็นสิ่งเราต้องเร่งทำ”นายภูสิต กล่าว