'ไฮสปีดเทรน 3 สนามบิน’ แก้สัญญาสุดอืด รอชงรัฐบาลใหม่อีกรอบ

'ไฮสปีดเทรน 3 สนามบิน’ แก้สัญญาสุดอืด รอชงรัฐบาลใหม่อีกรอบ

“ไฮสปีดสามสนามบิน” ล่าช้าไปอีก ! รอรัฐบาลใหม่ตั้งประธาน กพอ. เคาะแก้สัญญาร่วมทุน “ซีพี” หลังยื่นข้อเสนอตัดเงื่อนไขบัตรส่งเสริมบีโอไอ เร่งรัฐจ่ายเงินอุดหนุนก่อนกำหนด ด้านการรถไฟฯ ขีดเส้นหากแก้สัญญาจบ เอกชนต้องวางแบงก์การันตีภายใน 270 วัน

KEY

POINTS

  • EEC รับ “ไฮสปีดสามสนามบิน” ล่าช้าไปอีก ! เหตุต้องรอรัฐบาลใหม่ตั้งประธาน กพอ. เคาะแก้สัญญาร่วมทุน “ซีพี” 
  • เปิดผลเจรจา เคาะข้อเสนอภาครัฐตัดเงื่อนไขบัตรส่งเสริมบีโอไอ ขณะที่เอกชนเร่งรัฐจ่ายเงินอุดหนุนก่อนกำหนด 
  • การรถไฟฯ ขีดเส้นหากแก้สัญญาจบ เอกชนต้องวางแบงก์การันตีกว่า 1 แสนลเ้านบาทภายใน 270 วัน 

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในขณะนี้ เป็นผลทำให้การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ต้องชะลอออกไป เพราะจำเป็นต้องรอรัฐบาลใหม่ เพื่อแต่งตั้งประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เข้ามาพิจารณาในประเด็นนี้ 

อย่างไรก็ดี สกพอ.ยังคงกรอบดำเนินงานของไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินไว้ตามเดิม เพราะเชื่อว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ พร้อมแต่งตั้งประธาน กพอ.โดยเร็ว ทำให้ยังคงคาดว่าจะมีการลงนามแก้ไขสัญญาฉบับใหม่ภายในปีนี้ ส่วนภาครัฐปัจจุบันมีความพร้อมส่งมอบพื้นที่ 100% โดยโครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปีแล้วเสร็จ เปิดให้บริการในปี 2572 

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เป็นโครงการเรือธงของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเป็นโครงสร้างพื้นฐานแรกที่ลงนามสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562 ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

การดำเนินโครงการดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมีจำนวนลดลง และเป็นเหตุให้เอกชนยื่นขอการเยียวยาผลกระทบ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564

อย่างไรก็ดี การเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนดำเนินการมาเกือบ 3 ปี ในขณะที่เอกชนร่วมลงทุนได้เข้าไปบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ตั้งแต่ปี 2564 ภายหลังที่รัฐบาลตกลงให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน

นอกจากนี้ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตการณ์ของระบบสถาบันการเงิน ทำให้เอกชนยื่นข้อเสนอเจรจาเพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนโครงการอย่างต่อเนื่องประกอบกับเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2567 ถือเป็นกำหนดสิ้นสุดที่เอกชนได้รับการขยายเวลาจากบีโอไอ ครั้งที่ 3 ดังนั้นหากไม่หาทางออกเพื่อแก้ปัญหาจะส่งผลกระทบต่อโครงการ 

ทั้งนี้ จากการเจรจาระหว่าง ร.ฟ.ท.และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด คู่สัญญา ได้ข้อสรุปร่วมกัน แบ่งเป็น 

  • ประเด็นการรับสิทธิบริหารแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เอกชนขอแบ่งจ่ายค่าบริหารสิทธิเป็น 7 งวด มูลค่ารวม 10,640 ล้านบาท โดยเริ่มจ่ายงวดแรกในปี 2567
  • ประเด็นการร่วมลงทุน เพิ่มเงื่อนไขให้ภาครัฐจ่ายค่าที่รัฐร่วมลงทุนโครงการ วงเงิน 119,000 ล้านบาท โดยให้จ่ายก่อนกำหนดในงวดที่ 18 นับจากวันที่ออกหนังสืออนุญาตเข้าพื้นที่ (NTP) จากเดิมภาครัฐต้องจ่ายหลังเอกชนก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ
  • ประเด็นบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ภาครัฐตัดเงื่อนไขนี้ออกไป เพราะเอกชนออกบัตรส่งเสริมการลงทุนไม่ได้แล้ว หากตัดเงื่อนไขนี้ออกจะทำให้ ร.ฟ.ท.ออกหนังสือ NTP และเอกชนเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้

ทั้งนี้ จากการเจรจาให้ภาครัฐเร่งจ่ายค่าร่วมลงทุน และการแบ่งจ่ายค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้รัฐรับความเสี่ยง และการันตีได้ว่าเอกชนรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปแล้วยังก่อสร้างโครงการต่อเนื่อง จึงมีข้อตกลงร่วมกันให้เอกชนจัดหาหลักประกันทางการเงิน หรือแบงก์การันตี ในกรอบวงเงิน 1 แสนล้านบาท และจะทยอยคืนหลักประกันเมื่อเอกชนส่งมอบงาน

สำหรับกรอบดำเนินงาน ร.ฟ.ท.ประเมินเบื้องต้นว่า หากเจรจาถ้อยคำในสัญญาแล้วเสร็จจะมีการเสนอ กพอ.ก่อนเสนอไปยัง ครม.และอัยการสูงสุดในการแก้ไขสัญญา โดยคาดว่าขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ร.ฟ.ท.ออกหนังสือ NTP เพื่อให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างได้ในปีนี้

รวมทั้งภายหลังลงนามแก้ไขสัญญา เอกชนต้องหาหลักประกันทางการเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 270 วัน 

ส่วน ร.ฟ.ท.ยืนยันความพร้อมส่งมอบพื้นที่ 100% ตลอดเส้นทาง จึงเตรียมเร่งรัดให้เอกชนเริ่มก่อสร้างส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการอื่น อาทิ โครงสร้างร่วมรถไฟไทยจีน ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง 

รวมไปถึงเร่งแก้ปัญหาพื้นที่ร่วมในโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ส่วนของพื้นที่ใต้อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา