สศค.รายงานเศรษฐกิจเดือนก.ค.67 จับตาลงทุนเอกชนใกล้ชิด หลังยอดขายรถหดตัว
สศค. รายงานเศรษฐกิจเดือนก.ค.67 รับแรงหนุนท่องเที่ยว ส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังจับตาลงทุนเอกชนใกล้ชิด หลังยอดขายรถเชิงพาณิชย์ รถยนต์นั่งและจักรยานยนต์ในประเทศยังหดตัว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนก.ค.2567 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนก.ค. 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีสัญญาณดีขึ้นจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนที่กลับมาขยายตัวได้ดี แต่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ยังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เช่นเดียวกับปริมาณจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์
โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนก.ค. 2567 อยู่ที่ 0.83% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.52% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2567 อยู่ที่ 63.5% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
ขณะที่เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนก.ค. 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 230.6 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนก.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 11.4% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.1%
อย่างไรก็ตาม ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ในเดือนก.ค. ลดลง 9.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและปริมาณจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ลดลง 3.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 10.1% และ 0.7% ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนก.ค. 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 58.9 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนก.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.0%
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนก.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 13.8% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 16.9%
ขณะที่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนก.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 12.0% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 13.4%
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนก.ค. 2567 ขยายตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 0.7% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 5.7%
ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนก.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 18.0%
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์ ในเดือนก.ค. 2567 อยู่ที่ 25,720.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 15.2% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ 9.3% เนื่องจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 82.6% เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 34.1% และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 27.8%
นอกจากนี้ สินค้ายางพาราขยายตัว 55.4% อาหารสัตว์เลี้ยง 26.6% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 20.4% และข้าว 15.6% อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำตาลทราย และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย 36.0% สหรัฐฯ 26.3% อาเซียน(9) 18.6% และจีน 9.9% อย่างไรก็ดี ตลาดตะวันออกกลาง หดตัว 3.7% และทวีปออสเตรเลีย 2.8%
ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนก.ค. 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.10 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 24.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 1.6%
โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ สปป. ลาว ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนก.ค. 2567 จำนวน 22.0 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 11.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.4%
ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนก.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.4% ตามการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ 2.2%
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนก.ค. 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.3 จากระดับ 87.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและยา อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อผู้บริโภคยังอ่อนแอจากปัญหาหนี้สินที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก