ครม.ไฟเขียว 5 มาตรการ 63 แผนงาน สกัดสินค้าราคาถูกผิดกฎหมาย - สินค้าจีนตีตลาด
ครม.ไฟเขียว 5 มาตรการ 63 แผนงาน สกัดสินค้าราคาถูกผิดกฎหมาย งัดมาตรการตรวจเข้ม บังคับอีคอมเมิร์ซจดทะเบียนภาษีในไทยเสียภาษีถูกต้อง ให้ความรู้ผู้ประกอบการไทยใช้กฎหมายป้องกันการทุ่มตลาด ส่วนการตั้งศูนย์เฉพาะกิจให้เลื่อนออกไปก่อน รอครม.ชุดใหม่
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการ ป้องกันสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามายังประเทศไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นเจ้าภาพหลักในการรับเรื่องร้องเรียนนั้น ได้เสนอมาตรการแก้ไข เนื่องจากมีผู้ประกอบการไทยได้รับความเดือดร้อน และแข่งขันกับสินค้าจีนได้ยาก โดย ครม.เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหา 5 มาตรการหลัก 63 แผนปฏิบัติการ ดังนี้
1.) ให้หน่วยงานรัฐ บังคับใช้ระเบียบกฎหมายอย่างเข้มข้น โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการตรวจสินค้า ณ ด่านศุลกากร ด้วยการเพิ่มความถี่การเปิดตู้สินค้า เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการเพิ่มความถี่การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่จำหน่ายออนไลน์ ให้เป็นไปตามกฏหมายไทย
2.) ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าอนาคต โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทย เพื่อให้ภาครัฐ สามารถกำกับดูแล ซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ( ETDA.) อยู่ระหว่างจัดทำประกาศ รวมถึงต้องเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับครอบคลุมรายการสินค้าให้มากที่สุด
3.) มาตรการด้านภาษี กรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎหมายภาษี สำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่จำหน่ายสินค้าในไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขณะเดียวกันต้องจัดอบรมความรู้เชิงเทคนิคให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการยื่นคำขอและไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
4.) มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ไทย ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในการผลิต ขยายการส่งออกสินค้าไทยผ่านอี-คอมเมิร์ซ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทย แข่งขันได้ในยุคการค้าโลกใหม่
และ 5.) สร้างและต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อผลักดันสินค้าและบริการไทยผ่านอี-คอมเมิร์ซ ต่างประเทศ และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้าสำหรับอี-คอมเมิรซ์ในระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตามมีมติให้เลื่อนเรื่องการตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอออกไป เพื่อรอครม.ชุดใหม่มาดำเนินการ เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการ หากเสนอให้ครม.ชุดนี้เห็นชอบ ก็ต้องนำเสนอกลับมาให้ครม.ชุดใหม่พิจารณาอีกครั้ง ดังนั้นรอครม.ชุดใหม่มาพิจารณาอนุมัติ ซึ่งคาดว่าจะมีครม.ชุดใหม่เร็วๆนี้
ทั้งนี้ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินงานเป็นรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตามทั้ง 5 มาตรการ ได้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงทางการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศคู่ค้า ควบคู่กับการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยอย่างสมดุล