เปิดแผน ‘ภาษี’ สกัดสินค้าจีน ดึงเข้าระบบ VAT รัฐเปิดไต่สวน AD เองได้
ครม.อนุมัติ 5 มาตรการ 63 แผนงาน สกัดสินค้าจีนทะลัก เตรียมชงรัฐบาลใหม่ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ สกัดสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำผิดกฎหมาย เข้มมาตรการภาษี ‘ดึงเข้าแวต’ รัฐเปิดไต่สวน ‘AD’ เองได้ “หอการค้า” แนะตั้งรองนายกฯ เศรษฐกิจ หารือจีนแก้ปัญหาระดับชาติ เสนอเพิ่มมาตรการเชิงรุก
ผลกระทบจากการผลิตสินค้าจำนวนมาก และส่งออกขายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกของสินค้าในจีนได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมการผลิตในหลายประเทศทั่วโลกที่ไม่สามารถแข่งขันในสงครามราคากับผู้ประกอบการจากจีนที่มีต้นทุนการผลิตถูกกว่าซึ่งปัญหานี้ส่งผลกระทบกับประเทศไทย และมีเสียงสะท้อนมาถึงรัฐบาลให้ช่วยแก้ไขปัญหาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ยอดจดทะเบียนกิจการช่วงที่ผ่านมาของปี 2567 มีโรงงานอุตสาหกรรมทยอยปิดกิจการต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2566 โรงงานปิดกิจการ 1,337 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 65% หรือเฉลี่ยเดือนละ 111 แห่ง ส่งผลให้มีผู้ตกงานแล้ว 15,000 คน
รวมทั้ง 2 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาสงครามการค้าทำให้สหรัฐ และสหภาพยุโรปใช้มาตรการตอบโต้จีน ในขณะที่จีนมีกำลังการผลิตเท่าเดิมจึงมีสินค้าราคาถูกทะลักเข้าอาเซียนจำนวนมาก ส่วนผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศต้องลดกำลังการผลิตลงเพราะแข่งขันต้นทุนสินค้าไม่ได้
รัฐบาลพยายามแก้ปัญหานี้โดยวันที่ 13 ส.ค.2567 ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอการป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เพื่อกำหนดมาตรการแนวทางแก้ปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิต และผู้ประกอบการไทยให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมครบทุกมิติ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงการค้าระหว่างประเทศควบคู่การรักษาผลประโยชน์ผู้บริโภค และผู้ประกอบการไทย
รวมทั้งแนวทางการสนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยให้ปรับตัวและแข่งขันต่างชาติได้ในสภาวะการค้าปัจจุบันแล้วให้ทำสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ
“พาณิชย์” ถก 22 หน่วยงานคุมสินค้าไร้มาตรฐาน
ต่อมากระทรวงพาณิชย์ประชุมกับ 22 หน่วยงาน และภาคเอกชนเพื่อแก้ปัญหานี้ซึ่งประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรวม 30 กลุ่มธุรกิจ และธุรกิจบริการ (ขนส่ง และโลจิสติกส์ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) 10 หน่วยงาน เพื่อหารือข้อเสนอแนะ รวมถึงมาตรการแนวทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้า และบริการที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐานจากต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และผู้ประกอบการไทย โดยได้มีแนวทางเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2567 พิจารณา
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบมาตรการป้องกันสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาไทยตามที่กระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากมีผู้ประกอบการไทยได้รับความเดือดร้อน และแข่งขันกับสินค้าจีนได้ยาก โดย ครม.เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหา 5 มาตรการหลัก 63 แผนปฏิบัติการ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่
ออกกฎหมายคุมจดทะเบียนในไทย
1.ให้หน่วยงานรัฐบังคับใช้ระเบียบกฎหมายเข้มข้น เช่น บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจเข้มสินค้า ณ ด่านศุลกากร การเพิ่มอัตราการเปิดตู้สินค้า (Full Container Load) เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือการได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สินค้าตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่จำหน่ายออนไลน์ โดยจะเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ รวมถึงการตรวจสอบผู้ประกอบการ/ผู้ให้บริการให้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย การป้องปรามการกระทำอันมีลักษณะเป็นนอมินี
2.ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องการค้าอนาคต เช่น กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดแจ้ง และจัดตั้งนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐกำกับดูแลประโยชน์ผู้บริโภค และความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) อยู่ระหว่างจัดทำประกาศฯ ให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มต่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามกำหนด “ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยให้มีสำนักงานในไทย” พร้อมให้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้แข่งขันที่เป็นธรรม และคุ้มครองผู้บริโภคไทย
นอกจากนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเร่งเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับ ครอบคลุมรายการสินค้าให้มากที่สุด
เพิ่มมาตรการด้านภาษี-ลดการนำเข้า
3.มาตรการด้านภาษี เช่น ภาษีศุลกากร ภาษีรายได้นิติบุคคลภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Ant-dumping: AD) ภาษีตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด และการอุดหนุน (Anti-circumvention: AC) มาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG)
ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการศึกษาการแก้ไขกฎหมายการทุ่มตลาดที่ให้เอกชนที่ได้รับผลกระทบเป็นผู้ฟ้องร้องมาเป็นให้รัฐบาลฟ้องแทนเพราะรัฐบาลรู้ถึงผลกระทบ และมีข้อมูลที่จะสามารถสู้กับบริษัทต่างชาติได้หากมีการกระทำในลักษณะทุ่มตลาดจนกระทบกับสินค้าในไทยจริง ทั้งนี้ในช่วงที่ยังไม่สามารถแก้กฎหมายได้ก็จะต้องให้ความรู้กับผู้ประกอบการมากขึ้น
ปัจจุบันกรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงประมวลรัษฎากรสำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าในไทยต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร
ขณะเดียวกันกรมการค้าต่างประเทศจัดอบรมให้ความรู้เชิงเทคนิคกับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการยื่นคำขอ และไต่สวนการใช้มาตรการ AD AC และ SG
4.มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาเสริมความแข็งแกร่งภาคธุรกิจเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าไทย และการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคการค้าโลกใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ในการผลิต และขยายการส่งออกสินค้าไทยผ่าน E-Commerce
ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น
5.สร้าง/ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้นเช่น กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการผลักดันสินค้า และบริการไทยผ่าน E-Commerce ต่างประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางรวบรวม และกระจายสินค้าสำหรับ E-Commerce ในระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ ครม.มีมติให้ทุกหน่วยต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดทันที โดยรายงานผลการดำเนินงานเป็นรายสัปดาห์ และจะมีการประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวทุก 2 สัปดาห์ หากมีความจำเป็นตามสถานการณ์อาจพิจารณาปรับแผนดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5 มาตรการสอดรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวข้างต้นได้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงทางการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศคู่ค้า ควบคู่กับการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้ประกอบการไทยอย่างสมดุล ตลอดจนสนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัว และแข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่ โดยในเรื่องของการใช้มาตรการภาษียังไม่มีการพิจารณาในขณะนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ได้หารือกันในเรื่องการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจฯ เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ และติดตามแผนปฏิบัติการของหน่วยงานในแต่ละด้าน และรายงานการแก้ปัญหาเรื่องนี้ รวมทั้งรายงานปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ให้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รมช.พาณิชย์ที่เป็นประธานรับทราบเพื่อสั่งการให้ดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ที่ประชุม ครม.มีความเห็นว่าควรมีการเสนอเข้ามาภายหลังที่มี ครม.ชุดใหม่แล้วซึ่งคณะทำงานในเรื่องนี้ก็พร้อมที่จะเสนอ ครม.ชุดใหม่เพื่อให้มีการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจฯในเรื่องนี้ขึ้น
“หอการค้า” หนุนรัฐบาลออกมาตรการ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่ ครม.อนุมัติ 5 มาตรการสกัดสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพทะลักเข้าไทย เป็นสิ่งดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และมีมาตรการรับมือ เพราะผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมาก
ทั้งนี้ หอการค้าไทยได้หารือฝ่ายจีนเบื้องต้นทราบว่ารัฐบาลจีนมีความพร้อม และตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนการทำงานของไทยในส่วนนี้ อย่างเต็มที่ เพื่อให้การค้าระหว่าง 2 ประเทศเกื้อกูลกัน ซึ่งฝั่งไทยควรมีรองนายกฯ เศรษฐกิจ ที่ชัดเจน และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะได้เป็น Counterpart กับรองนายกฯ จีน ที่ชัดเจน
รวมทั้งควรเสนอรองนายกฯ เศรษฐกิจของไทยให้รื้อฟื้นกลไกประชุมกับรองนายกฯ จีน ซึ่งปัจจุบัน คือ นายเหอลี่เฟิง ซึ่งเป็นคนสนิทกับนายสี จิ้นผิง และเคยมาเยือนไทยช่วงเอเปคพร้อมนายสี จิ้นผิง จะช่วยแก้ไขได้เหมือนช่วงแก้ปัญหาทุเรียนไทยไปจีนช่วงโควิด-19
แนะมาตรการเชิงรุกตรวจระบบชำระเงิน
นอกจากนี้ มาตรการที่ออกว่ายังไม่พอเพราะเป็นการตั้งรับ ตอนนี้สินค้าที่เข้ามานั้น มีที่มา และช่องทางที่หลากหลายแตกต่างกัน หลายรูปแบบซึ่งหอการค้าไทยจึงเสนอประเด็นเพิ่มเติมดังนี้
1.รัฐบาลไทยต้องหารือทางการจีนในการควบคุมมาตรฐานของสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร โดยเฉพาะมาตรฐานฝั่งไทย ทั้ง มอก.และ อย. โดยจีนต้องมีส่วนสำคัญในการช่วยคัดกรองสินค้าก่อนส่งออกมาไทย
2.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสินค้านำ โดยเฉพาะศุลกากรต้องเข้มงวดในการตรวจสอบ และสกัดสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้ามาอย่างละเอียด ขณะเดียวกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่หลุดรอดมาแล้ว รัฐบาลต้องใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
ขณะที่ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนต้องมีส่วนในการช่วยชี้เบาะแส ถึงความผิดปกติ ของสินค้าที่ถูกลักลอบเข้ามาจำหน่ายในไทย หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบ และกวาดล้างสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
3.มีมาตรการที่บังคับให้แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่างชาติจำเป็นต้องเสียภาษีทั้ง VAT และภาษีรายได้ (จากยอดขาย ไม่ใช่กำไร) เพื่อทำให้จัดเก็บรายได้เข้าภาครัฐตามที่ควรจะเป็น
4.รัฐบาลต้องเข้มงวด และตรวจสอบการใช้ระบบชำระเงิน Payment ต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินจำนวนมากไหลออกนอกประเทศจากระบบชำระเงินของต่างชาติ ซึ่งต้องบังคับให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง และอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
5.การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติจำเป็นต้องมีมาตรการที่ให้นักลงทุนจำเป็นต้องใช้ Local Content ของไทยสัดส่วนมากที่สุด เพื่อทำให้ผู้ประกอบการในซัพพลายเชนเติบโตไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันในอนาคตเป็นการป้องกันปัญหาจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เป็นการหลีกเลี่ยงข้อกังวลในการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก
6.มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) รวมถึงอาจกำหนดราคาต้นทุนสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าที่นำเข้ามาในราคาถูกตีตลาดสินค้าในประเทศจนแข่งขันไม่ได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์