‘กพช.’ ไฟเขียวต่ออายุ 2 ปี ชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ชงครม.17 ก.ย.นี้

‘กพช.’ ไฟเขียวต่ออายุ 2 ปี  ชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ชงครม.17 ก.ย.นี้

"ภูมิธรรม” นั่งหัวโต๊ะประชุม “กพช.” ต่ออายุมาตรการชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี ชง ครม.17 ก.ย. แต่สั่งให้กองทุนฯน้ำมันไปหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางออกหลังต้นทุนชดเชยพุ่ง หวังแก้ปัญหาระยะยาวและสอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลก

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการรจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี ภายหลังที่มาตรการนี้จะหมดอายุในวันที่ 24 ก.ย.นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 17 ก.ย.นี้

อย่างไรก็ตามนายภูมิธรรมกล่าวว่าได้มอบหมายให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะปัจจุบันภาระในการชดเชยพืชพลังงานที่เป็นส่วนผสมของน้ำมันมีสูงมากขึ้นจากราคาพืชที่มีราคาสูงทั้งในส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันเบนซิน ที่มีส่วนผสมของปาล์มน้ำมัน และอ้อยซึ่งในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนออกมาตอนแรกนั้นราคาของพืชเหล่านี้ราคาต่ำ แต่ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนี้พืชมีราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนในการชดเชยราคาพืชที่นำมาผสมในน้ำมันชดเชยของภาครัฐนั้นสูงขึ้นด้วยจึงต้องมีการพิจารณาเรื่องความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง

“ที่ประชุมกพช.จึงได้มอบหมายให้สำนักงานกองทุนน้ำมันไปเป็นเจ้าภาพในการหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ และ กระทรวงหลัก กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง เพื่อให้ในการประชุม ครม.ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะต้องมีเรื่องที่เป็นข้อเสนอและข้อสังเกตให้ครบทุกด้าน ว่าจะทำอย่างไร ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าเรื่องนี้จะมีความยืดเยื้อและจะวนกลับมาแบบนี้ตลอดไปซ้ำซาก เราอยากทำให้เรื่องนี้มีข้อยุติ ต้องไปดูว่าในเรื่องนี้จะหาทางออกอย่างไร” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรมกล่าวต่อว่าระหว่างนี้รัฐบาลจะต้องพิจารณาหาทางออกให้มันชัดเจนมากขึ้นว่าควรอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพและได้ประโยชน์ เกิดความสมดุล และเหมาะสม

เพราะเวลานี้หากอุดหนุนจัดการไม่ดี ไม่สมดุล จะเกิดปัญหาตามมาทางผู้ผลิตพืชผู้ใช้ และโลกที่มองอยู่ต้องการใช้น้ำมันที่มีเหมาะสมกับโลกสมัยใหม่มากขึ้นเหล่านี้จำเป็นจะต้องเอามาพิจารณา แต่การพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งทุกอย่างต้องเดินไปด้วยกันเพื่อให้เกิดความสมดุลและพิจารณาหาทางออกร่วมกัน

ในเรื่องของน้ำมันต่างๆก็จะได้มีทางออก ถ้าเอาของไว้ใช้อย่างเดิมจะดูแลต่ออย่างไร ถ้าไม่ได้จะมีโอกาสขายผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆในด้านใดซึ่งก็ต้องมีการพูดคุยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ใช้น้ำมันกระทรวงคมนาคมก็ต้องดูว่าต้องต้องใช้อะไรให้ตามกฎหมายโลกในสิ่งที่รักษาโลกมากขึ้นถ้าต้องใช้แบบนี้ต้องมีทางออกอย่างไร 

หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันหวังว่าประชาชนจะได้ใช้น้ำมันที่ดีตามที่โลกต้องการและใช้ได้ในราคาถูก ผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องด้านชีวภาพก็ต้องมีทางออกในการจัดการต่างๆไม่เช่นนั้นก็จะสนับสนุนกันโดยโดยตลอดก็จะเกิดปัญหา