'ภาคธุรกิจ' นัดนายกฯ ยื่นสมุดปกขาว ฟื้นความเชื่อมั่น 'เร่งเงินดิจิทัล'

'ภาคธุรกิจ' นัดนายกฯ ยื่นสมุดปกขาว ฟื้นความเชื่อมั่น 'เร่งเงินดิจิทัล'

เอกชน ชี้ภารกิจด่วนรัฐบาลใหม่ “ฟื้นความเชื่อมั่น - แจกเงินดิจิทัล” หวังรองนายกฯ เศรษฐกิจ มีอำนาจต่อรอง กกร.เตรียมส่งสมุดปกขาว ห่วงน้ำท่วมซ้ำเติม “โบรกเกอร์” ระบุหุ้นไทยขานรับ ครม.ชุดใหม่ “จัดตั้งเร็ว - ทีมเศรษฐกิจหน้าเดิม” จับตาแถลงนโยบายสัปดาห์หน้า ลุ้นดัชนีแตะ 1,400 จุด

ความคืบหน้าภายหลังจากที่รัฐบาลแพทองธาร 1 จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยจะมีการแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า โดยภาคเอกชนได้ติดตามการจัดตั้งรัฐบาล และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศ รวมทั้งภาคเอกชนเตรียมที่จะยื่นข้อเสนอด้านเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลใหม่

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กกร.ยินดีที่รัฐบาลสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งเอกชนทั้ง 3 สถาบัน ได้มีโอกาสเข้าพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2567

อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งมีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนแรกกว่า 757 แห่ง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่ ที่ประชุม กกร.จึงได้เร่งจัดทำสมุดปกขาวภายในเดือน ก.ย.2567 นี้ เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

“เชื่อว่ารัฐบาลแม้จะหลายพรรคแต่ก็เป็นเอกภาพ ต้องเร่งขับเคลื่อน และมีความหวัง ด้วยภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ อยากให้ส่งผ่านเม็ดเงินให้ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง จะสร้างความกระชุ่มกระชวยให้ฐานราก และสร้างโอกาส สร้างอารมณ์ให้ระบบเศรษฐกิจได้ดี” นายผยง กล่าว

แนะรัฐบาลเร่งฟื้นเชื่อมั่น-แจกเงินดิจิทัล

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องที่ต้องทำเร่งด่วนคือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนก่อน และเรื่องอื่นจะตามมา 

ขณะที่การผลักดันดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นเรื่องเร่งด่วน รวมถึงการดูแลค่าครองชีพ และการจัดการปัญหาน้ำท่วมก็สำคัญ ขณะเดียวกันต้องเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้ครบถ้วน รวมถึงปี 2568 จะต้องอยู่ในกำหนดเวลา

“ตอนนี้ในตลาดไม่มีเงินหมุนเวียนเลย ถ้ามีเงินอัดฉีดเข้าไป จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มาก ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขของการแจกเงิน 1 หมื่นบาท เราเคยให้ข้อเสนอไปแล้วคือ แจกกลุ่มที่เปราะบางก่อน ซึ่งกลุ่มผู้พิการก็จะรวมอยู่ในนี้ หากยังมีเงินเหลือ และต้องการจะแจกให้ครบถ้วนในกลุ่มอื่นๆ ก็ต้องรอรัฐบาลแถลง พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” นายสนั่น กล่าว

ชี้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจสำคัญสุด

ส่วนกรณีข้อวิพากษ์วิจารณ์เป็น ครม.ตัวแทนครอบครัวที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อศักยภาพรัฐบาลที่อาจกระทบความเชื่อมั่นที่เอกชนพยายามผลักดันหรือไม่ นายสนั่น กล่าวว่า มองว่ารัฐบาลเป็นเอกภาพพอ อีกทั้งยังมีจำนวนเสียงในสภาฯ ที่เพียงพอแล้ว ในส่วนนี้จะต้องดูว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพราะเป็นส่วนที่สำคัญสุด

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรมีรองนายกฯ เศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อน จากตัวอย่างที่หอการค้าไทยได้ขอเข้าหารือกับรัฐบาลในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 อดีตรองนายกฯ สามารถพาเอกชนเดินทางเพื่อขอความร่วมมือกับประเทศจีนเพื่อขอให้จีนนำผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน ซึ่งช่วงนั้นจีนไม่ให้นำเข้าเลย แต่ด้วยสถานะรองนายกฯ ที่หารือกับระดับผู้นำประเทศด้วยกันก็สามารถสรุปได้ใน 3 วัน

ส.อ.ท.เผยรัฐบาลชุดใหม่ใสกว่าชุดเดิม

นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากให้เทียบ ครม.ชุดปัจจุบันกับชุดที่แล้ว ชุดนี้น่าจะใสกว่า นอกจากนี้การที่ ส.อ.ท.ได้เข้าพบกับนายกฯ ได้มีการนำเสนอในหลายเรื่อง เช่น ค่าไฟฟ้าที่ภาครัฐก็ได้สนองตอบ โดยค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องจ่ายราว 3-4 หมื่นล้านบาท ก็ได้รับการจ่ายคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้เอกชนมีกระแสเงินสด และการทำธุรกิจคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน คาดว่ามูลค่าความเสียหาย เดือนส.ค.- ก.ย.2567 อยู่ที่ 6,000-8,000 ล้านบาท หรือ 0.03-0.04% ของจีดีพี ซึ่งภาคเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนในระยะถัดไปต้องติดตามพายุที่อาจจะเข้าได้ช่วงเดือนก.ย.- ต.ค.นี้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม

กกร.คาดจีดีพีไทยปี 67 อยู่ที่ 2.2-2.7%

นอกเหนือจากอุปสงค์ภายในประเทศของไทยยังอ่อนแรงสะท้อนจากการลงทุน แม้รัฐจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเติบโตเฉลี่ยได้กว่า 20% ในช่วงเดือนพ.ค.- ก.ค.ที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจไตรมาส 2/2567 ยังชะลอตัว โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนหดตัวถึง 6.8% เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลง 24% 

ส่วนการลงทุนในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอ สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภค และภาคธุรกิจที่ปรับลดลงต่อเนื่อง กกร.จึงยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 2.2-2.7%

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง สหรัฐส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ค่าระวางเรือยังสูงกว่าภาวะปกติ 3 เท่าตัวเป็นปัจจัยลบต่อการค้าโลก แต่การส่งออกของไทยในเดือนก.ค.เติบโตถึง 15.2% จากแรงหนุนของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก 

รวมทั้งคาดว่าทั้งปีไทยจะส่งออกได้ 1.5-2.5% สูงกว่าประมาณการเดิมคาดไว้ที่ 0.8-1.5% แต่การเติบโตดังกล่าวยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง

ชี้เปิดขายกองทุนวายุภักษ์ หนุนหุ้นไทย

เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนทั้งบวก-ลบ ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,365.49 จุด เพิ่มขึ้น 0.89 จุด หรือ 0.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 38,947.38 ล้านบาท

นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว และ ครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจไทยยังเหมือนเดิมเรามองเป็นบวก แม้โดยรวมกรอบเวลาการจัดตั้งรัฐบาลถือว่าเป็นไปตามที่คาดว่าจะสามารถส่งรายชื่อ ครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ และแต่งตั้งได้ภายในช่วงต้นเดือนก.ย.2567 

รวมทั้งเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ ได้ภายในช่วงกลางเดือนก.ย.นี้จะทำให้การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณและการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้กับกลุ่มเปราะบางในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ 

รวมถึงอาจเห็นความชัดเจนเรื่องการแจกเงินดิจิทัลให้กับประชาชนในส่วนที่เหลือรวมทั้งการเปิดขายกองทุนวายุภักษ์คาดว่าจะช่วยเสริมเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทย

ดังนั้นมองแนวโน้มหุ้นไทยฟื้นตัวต่อ และเชื่อดัชนีหุ้นไทย (SETIndex) จะแข็งแกร่งกว่าต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในเดือนก.ย.นี้ ประเมินกรอบแนวรับที่ 1,350 จุด และแนวต้านด้านบนที่บริเวณ 1,370 และ 1,390 จุดตามลำดับ

“บล.หยวนต้า” คาดเม็ดเงินใหม่ลงทุนหุ้นใหญ่เป็นหลัก

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวกกับ ครม. ชุดใหม่ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสามารถจัดตั้งได้เร็ว และทีมเศรษฐกิจยังเหมือนเดิม ทำให้คาดหวังมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ได้เช่นเดิม โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนวายุภักษ์ 

ทั้งนี้คาดว่าจะหนุนให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นเม็ดเงินลงทุนใหม่ ที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก มองกรอบเดือนก.ย. แนวรับ1,360 จุด และแนวต้าน 1,375 จุด หากผ่านไปได้สู่แนวต้านถัดไป 1,400 จุดได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์