IPEF Pillar III กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในยุคที่สังคมโลก หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น IPEF Pillar III ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Clean Economy) จึงมีความสำคัญและเป็นโอกาสดีสำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งใน 14 ประเทศสมาชิก
กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework : IPEF) เสาความร่วมมือที่ 3 (IPEF Pillar III) เป็นการรวมพลังของประเทศสมาชิก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Clean Economy)
ผ่านการใช้เทคโนโลยีสะอาด การลงทุนที่ยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
IPEF Pillar III เป็นด้านหนึ่งในความร่วมมือ IPEF 4 เสาหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย ด้านการค้า ด้านห่วงโซ่อุปทาน ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
คณะผู้วิจัย TDRI โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้สำรวจปัญหา โอกาส และความเสี่ยงจากการเข้าร่วม IPEF ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเสาหลักที่ 3 ที่ประเทศสมาชิกได้ร่วมลงนามกันไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว: แนวทางและโอกาสสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยมีความต้องการที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ IPEF ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อตกลงนี้มุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเพิ่มความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้เทคโนโลยีสะอาดและการลงทุนที่ยั่งยืน
ความร่วมมือนี้สามารถช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทย ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี การตรวจจับและลดการรั่วไหลของก๊าซมีเทน
รวมทั้งการพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองในฐานะพลังงานทางเลือกที่สำคัญสำหรับอนาคต แม้ว่าต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่ แต่ด้วยการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจากประเทศสมาชิก IPEF และการปรับใช้กลไกภาษีคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยผลักดันการใช้พลังงานนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนยังถือเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นด้านอุปทานไฟฟ้า ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทยอีกด้วย
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ต้องเกิดการปรับตัวอย่างจริงจังในภาคอุตสาหกรรมและขนส่งของประเทศไทย
ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้เริ่มใช้มาตรการกำหนดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน หรือ มาตรการ CBAM ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทย เช่น ซีเมนต์ พลาสติก และเหล็ก โดยตรง
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวโดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต รวมถึงการศึกษาและพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรมขนส่ง
การจัดการที่ดิน การเกษตร และทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการที่ดินและทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น การปรับพื้นที่นาข้าว และการใช้โดรนฉีดพ่นปุ๋ยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยการสนับสนุนจากประเทศสมาชิก IPEF จะช่วยให้ประเทศไทยมีโอกาสในการเรียนรู้และนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในภาคการเกษตรและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะจากภาคพลังงานที่ยังคงพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอย่างมาก
ความท้าทายนี้นำมาซึ่งการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจัดตั้ง Thailand CCUS Consortium ในการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โครงการ "Thailand CCS Hub" และ โครงการ "Eastern Thailand CCS Hub"
นอกจากนั้นไทยยังได้รับความร่วมมือจากญี่ปุ่นในโครงการสำรวจทางธรณีวิทยาเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศอย่าง JGC Partner และ INPEX Cooperation
ส่งเสริมจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวและสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการริเริ่มนโยบายส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว โดยกรมควบคุมมลพิษ ในช่วงปี 2565-2570 โดยใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย ที่มุ่งสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งนโยบายนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน แม้การดำเนินการยังขึ้นอยู่กับความสมัครใจของหน่วยงานต่างๆในภาครัฐ แต่ก็ได้สร้างแรงกระตุ้นที่ดีในภาคธุรกิจเอกชน
พัฒนาทักษะแรงงานด้วยการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม กระทรวงแรงงานของประเทศไทยได้ดำเนินแผนปฏิบัติการแรงงาน 5 ปี โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถของคนงานในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว
ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่เน้นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยจำเป็นต้องมีนโยบายทางเศรษฐกิจและการจัดการองค์กรที่ชัดเจน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและยั่งยืนสำหรับแรงงานในทุกภาคส่วน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือ IPEF ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยการดำเนินการที่เข้มแข็ง และชัดเจนจากภาครัฐในการพัฒนานโยบายและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
โดยเฉพาะบทบาทของผู้แทนไทยใน IPEF Clean Committee ที่จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการความร่วมมือ Cooperative Work Programme ต่างๆ
และการพัฒนากลไกสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เขียว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปตลาดพลังงานเพื่อเปิดเสรีการผลิตไฟฟ้า
โดยสรุป การเข้าร่วม IPEF Pillar ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโอกาสที่สำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพด้านพลังงานและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย แต่ต้องการการดำเนินการและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ประเทศสามารถปรับตัวและก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมั่นคง
ติดตามบทความเกี่ยวกับเสาความร่วมมือที่ 4 Fair Economy ได้ในตอนต่อไป.