รัฐบาลแพทองธารแถลงนโยบาย ชู ‘เศรษฐกิจเชิงรุก’ สร้างขีดสามารถแข่งขันประเทศ
แพทองธารชูนโยบายเศรษฐกิจระยะกลาง วางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศ หวังสร้างต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม ย้ำฐานการเป็นยานยนต์ไฟฟ้า คู่การสนับสนุนยานยนต์แห่งอนาคต ต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์ ดันเศรษฐกิจดิจิทัล Care and Wellness รวมทั้งการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค
วันนี้ (12 กันยายน 2567) เวลา 10.15 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยระบุว่านโยบายระยะกลางและระยะยาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน วางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต โดยมีประเด็นได้แก่
1.การสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม ได้แก่
- ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (HEVs PHEVs BEVs และ FCEVs)
- ส่งเสริม ยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ
2.ส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่
- ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy)
- ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)
- มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub)
- มุ่งสู่เป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub)
3. พัฒนาโครงสร้างเพื่อขยายโอกาส ได้แก่
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยและนวัตกรรม
- เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ (Mega Projects)
- เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
- เปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ
นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย ประกอบด้วย
1.ส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม
2. ยกระดับทักษะและปลดล็อกศักยภาพของคนไทยเพื่อสร้างงานสร้างรายได้
3. ยกระดับระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งกว่าเดิม ต่อยอดจากรัฐบาลที่แล้วจากพื้นฐานความสำเร็จหลายสิบปีของนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” มาเป็น “30 บาทรักษาทุกที่”
4. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ส่วนของการสร้างความยั่งยืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะดำเนินการควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย
- ให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ
- ยกระดับการบริหารจัดการน้ำ
- สานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
ขณะที่ การพัฒนาการเมือง รัฐบาลจะต้องพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างชาติ ในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมีเสถียรภาพมีนิติธรรมและความโปร่งใส ประกอบด้วย
1. เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
2. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law) และความโปร่งใส (Transparency)
3. ปฏิรูประบบราชการและกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
4.ยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น
ท้ายนี้ รัฐบาลจะแปลงความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอํานาจ ไปสู่ยุทธศาสตร์ที่จะเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยและเกื้อกูลผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ประกอบด้วย
1. รักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความยัดแย้งระหว่างประเทศไทย (Non-Conflict)
2. เดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้าง Soft Power
ในตอนท้ายของการแถลงนโยบายฯ นายกรัฐมนตรีย้ำเจตนารมณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไก ในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้ กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย