'สภาพัฒน์' ชี้ 8 ข้อผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์ แนะไทยใช้โอกาสยกระดับเศรษฐกิจ

'สภาพัฒน์' ชี้ 8 ข้อผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์ แนะไทยใช้โอกาสยกระดับเศรษฐกิจ

"สภาพัฒน์" ชี้ไทยเผชิญผลกระทบ 8 ด้านปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ระบุ 4 ความท้าทายสำคัญ แนะไทยเตรียมความพร้อม แสวงหาโอกาสดึงการลงทุน ช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ยกระดับแรงงานรับโอกาส และความท้าทายที่เกิดขึ้นในอนาคต

วันนี้ (23 กันยายน 2567) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมประจำปี 2567 เรื่อง “พลิกความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สร้างโอกาสประเทศไทย (Geopolitical Uncertainty : Navigating the Future)”

ในการประชุมดังกล่าว นายดนุชา  พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำเสนอในหัวข้อ “การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก : นัยต่อประเทศไทย” ประกอบด้วย 3 ส่วน สรุปได้ดังนี้

1.สถานการณ์ในภาพรวมจากการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก เลขาธิการฯ กล่าวว่าภูมิรัฐศาสตร์ หมายถึง การสร้างพลังอำนาจระหว่างประเทศ โดยอาศัยปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้ง อาณาบริเวณ ประชากร ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ทรัพยากร และอื่นๆ โดยนำมาใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ของขั้วอำนาจต่างๆ ในรูปแบบ และวิธีการที่หลากหลาย

ทั้งในรูปแบบความร่วมมือ และขัดแย้ง เช่น การทหาร ด้วยการใช้กำลังเข้ารุกรานหรือตอบโต้การรุกราน การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือการคว่ำบาตรหรือการกีดกันทางการค้า การแลกเปลี่ยนหรือเข้าครอบงำอุดมการณ์ แนวคิดทางการเมือง วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ การปกป้อง แบ่งปัน หรือแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือปิดกั้นเทคโนโลยีจากประเทศฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น

ทั้งนี้ World Economic Forum ได้แบ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ออกเป็นหลายระดับ ได้แก่

1.ความขัดแย้ง คือ ปรากฏการณ์ที่รัฐ 2 รัฐมีข้อพิพาทหรือความเห็นที่ต่างกัน รวมถึงผลประโยชน์ที่ขัดกันในประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม

2.ความตึงเครียด คือ สภาพการณ์ที่รัฐคู่กรณีวิตกกังวลต่อพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติตนได้ โดยประณามการกระทำอีกฝ่ายในเวทีระหว่างประเทศ หรือลดระดับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

3.วิกฤตการณ์ คือ สภาพการณ์ที่คู่กรณีเตรียมใช้กำลังเพื่อเข้ายุติความขัดแย้ง หรือเพื่อป้องกันการใช้กำลังของอีกฝ่ายหนึ่ง และ

\'สภาพัฒน์\' ชี้ 8 ข้อผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์ แนะไทยใช้โอกาสยกระดับเศรษฐกิจ

4.สงคราม เช่น กรณีวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลให้ดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงปี 2565 เพราะทั้งสองฝ่ายมีขั้วอำนาจเป็นพันธมิตรหนุนหลัง  เกิดความกังวลว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งหรือเกิดสงครามที่มีมากกว่าสองประเทศ ขณะที่ในปี 2567 สงครามระหว่างอิสลาเอล-ฮามาส ก็ส่งผลทำให้ดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกดังกล่าวขยับสูงขึ้น เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ สศช.ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกด้านต่างๆ ที่ผลต่อประเทศไทย ประกอบด้วย

1.สงครามการค้า เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิก WTO ส่งผลให้สินค้าจีนสามารถเข้าถึงตลาดของประเทศสมาชิกได้ ประกอบกับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศที่มีจำนวนมาก แรงงานที่มีค่าจ้างไม่สูง ส่งผลให้ประเทศจีนกลายเป็นโรงงานของโลก และเป็นผู้ส่งออกสำคัญของโลก ในปี 2563 เศรษฐกิจจีนก้าวขึ้นมาใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

โดยสหรัฐ นำเข้าสินค้าจากจีนอย่างต่อเนื่อง และขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐจึงเริ่มดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีนเพื่อลดการขาดดุลทางการค้า และมุ่งจำกัดบทบาทของจีนที่มีต่อเศรษฐกิจโลก นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรการกีดกันทางการค้าโดยใช้เทคนิค และวิทยาศาสตร์ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันจีนได้ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจตอบโต้ทางสหรัฐ และพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มบทบาททั้งในส่วนของการค้า และการผลิตโลก รวมถึงนโยบาย Belt and Road Initiatives

 

2.สงครามเทคโนโลยี สหรัฐมีมาตรการที่เฉพาะเจาะจงไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่งผลให้สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ก้าวไปสู่สงครามเทคโนโลยี โดยจีนตอบโต้โดยออกมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสินค้าทุน และวัตถุดิบที่มีต้นทางจากประเทศจีน และพันธมิตร อาทิ ทรายซิลิคอนที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงแร่หายากที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตแบตเตอรี่ และแผงพลังงานแสงอาทิตย์

สงครามเทคโนโลยีขยายวงกว้างไปยังเทคโนโลยีในหลายสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น EV Digital Telecom ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ ในส่วนของสหภาพยุโรปประกาศยุทธศาสตร์ EU New Industry Strategy ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ และปกป้องอุตสาหกรรม semiconductor ใน EU ด้านญี่ปุ่นก็ประกาศนโยบาย Economic Safety Security Strategies เพื่อป้องกันผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของประเทศโดยเฉพาะ นอกจากนี้เกาหลีใต้ได้สนับสนุนเงิน 23 ล้าน USD หนุนผู้ผลิตชิปในประเทศสำหรับการลงทุน วิจัย และพัฒนา ผลจากสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยี ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวรองรับมาตรการต่างๆ ที่อาจรุนแรงมากขึ้นจาก 2 ขั้วอำนาจ นำไปสู่การย้ายฐานการผลิต และการเร่งสร้างฐานการผลิตใหม่ การควบคุมสินค้าวัตถุดิบสำคัญ การป้องกันการถ่ายทอดเทคโนโลยี การแย่งชิง และป้องกันการเคลื่อนย้ายบุคลากร รวมถึงการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน

3.การแยกห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐ และจีน (Decoupling) ข้อจำกัดจากมาตรการกีดกันต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ นำมาสู่แนวนโยบายที่ส่งผลเสียต่อการค้าเสรีในหลายประเทศ เมื่อรวมกับวิกฤติโควิด-19 รวมถึงสงครามรัสเซีย และยูเครน อิสราเอล และกลุ่มฮามาส ส่งผลให้แนวโน้มการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตโลกมีความเข้มข้นมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ มุ่งย้ายฐานการผลิตกลับไปยังประเทศแม่ของบริษัท หรือไปยังประเทศที่เป็นพันธมิตร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่การผลิต และหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เงินลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ในระดับโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐ และสหภาพยุโรปลดลงอย่างมาก แต่เงินลงทุนจากจีน และประเทศกลุ่ม BRICS อื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้น ท่ามกลางเม็ดเงินลงทุนระหว่างประเทศที่ลดลง ในขณะที่มีบางกลุ่มประเทศที่ยังคงมีมูลค่า FDI เพิ่มขึ้น อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเวียดนาม สะท้อนถึงการย้ายฐานการผลิตมายังกลุ่มประเทศดังกล่าว แต่ไทยเป็นประเทศที่ FDI ลดลง จึงเป็นประเด็นท้าทายสำคัญในการกำหนดนโยบายของประเทศไทยเพื่อที่จะสามารถรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน และการย้ายฐานการผลิตดังกล่าว

4.การแย่งชิงแรงงาน การแบ่งแยกห่วงโซ่การผลิต ทำให้เกิดการย้ายฐานอุตสาหกรรมหลายประเทศต้องการแรงงานทักษะสูง นำไปสู่ Talent War จากรายงานข้อมูลดัชนีชี้วัดศักยภาพการแข่งขันด้านทรัพยากรมนุษย์โลก (The Global Talent Competitiveness Index : GTCI) ปี 2566 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 79 จาก 134 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน จากผลการจัดอันดับดังกล่าวสะท้อนว่า ไทยต้องเร่งพัฒนาแรงงานให้มีทักษะที่สูงขึ้น และเร่งปรับปรุงสภาพแวดล้อมของระบบการพัฒนาแรงงานเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ และยกระดับศักยภาพของแรงงานในประเทศมากขึ้น

5.วิกฤติผู้อพยพจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลให้มีการหลั่งไหลของผู้อพยพจากเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก แม้ต่อมารัฐบาลจะมีการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศ ทำให้จำนวนผู้อพยพลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 84,405 คน ในปี 2566 จากจำนวน 90,940 คน ในปี 2565 การลี้ภัยของชาวเมียนมา นำมาซึ่งผลกระทบหลายด้าน  ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การลักขโมย และการก่ออาชญากรรมตามแนวชายแดน การลักลอบตัดไม้ โรคติดต่อ การค้ามนุษย์ ทำให้รัฐต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร และงบประมาณในด้านการควบคุมดูแลผู้หนีภัยสู้รบที่มีจำนวนมากเหล่านี้

6.ความมั่นคงทางอาหาร สงคราม และความขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลให้พื้นที่การเกษตร ระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และการกระจายสินค้าอาหาร และวัตถุดิบถูกทำลาย เกิดการย้ายถิ่นของประชากร ส่งผลต่อการเข้าถึง และใช้ประโยชน์อาหารในพื้นที่ใหม่เป็นไปอย่างยากลำบาก ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ซึ่งเพิ่มต้นทุน และราคาสินค้าเกษตร และอาจนำไปสู่การขาดแคลนอาหารในประเทศ ประเทศต่างๆ จึงอาจใช้อาหารเป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจ

7.ความมั่นคงทางพลังงาน ภาวะสงคราม และเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และหลายประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานหลายด้านถูกทำลาย รวมทั้งด้านพลังงาน อาทิ ท่อขนส่งน้ำมัน ท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติ หรือการทำลายโรงไฟฟ้า ส่งผลให้มีการเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือขนส่งเชื้อเพลิงฟอสซิล  กระทบต่อการขนส่ง และห่วงโซ่อุปทานด้านพลังงาน สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกมีความผันผวน กระทบต่อประเทศไทย ซึ่งพึ่งพิงเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศอย่างมาก ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านพลังงาน วางกลยุทธ์ในการหาแหล่งทรัพยากรพลังงานใหม่ๆ ในประเทศโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

และ 8.การแย่งชิงทรัพยากรน้ำ การบริหารจัดการพลังงานน้ำอาจกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีน และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนอาศัยความได้เปรียบในฐานะประเทศต้นน้ำของลุ่มแม่น้ำโขงก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ในช่วงปี 2538–2562 ส่งผลกระทบต่อประเทศปลายน้ำ ที่เกิดปัญหาความแห้งแล้งรุนแรง การขึ้นลงของน้ำผิดปกติ แอ่งน้ำลึกในแม่น้ำโขงตื้นเขินขึ้น ส่งผลกระทบต่อปริมาณการจับปลามากกว่า 2.6 ล้านตันต่อปี รวมถึงความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในจีน อาจทำให้น้ำในเขื่อนกลายเป็น “ระเบิดน้ำ’’ นำไปสู่เสียงทักท้วงจากประเทศแม่น้ำโขงตอนล่างเรียกร้องให้จีนคำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศที่อยู่ปลายน้ำด้วย

สำหรับความท้าทายที่ไทยต้องบริหารจัดการเพื่อรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้น มีหลายด้าน ที่สำคัญได้แก่

1. ด้านการค้าการลงทุนโดยตรง (FDI) ที่ไหลสู่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และการไหลเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีนที่ กระทบผู้ประกอบการภาคการผลิตของไทยโดยเฉพาะ SMEs หรือผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ขัดแย้ง

2.เทคโนโลยี ควรให้ความสำคัญกับ Platform ให้บริการ
ที่แยกจากกัน ที่จะส่งผลให้ต้นทุนการใช้บริการสูง รวมถึงประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่องว่างทางดิจิทัล

3.แรงงาน และทักษะ การพัฒนา ecosystem ที่เอื้อต่อการดึงดูดแรงงานทักษะสูง และพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับแนวโน้มทางเทคโลยี และตลาด รวมถึงการพัฒนาเมืองที่สามารถดึงดูด Talent การรองรับแรงงานหรือผู้ย้ายถิ่นจากเมียนมา และมีความมั่นคงทางอาหาร

และ 4.ความมั่นคงทางพลังงาน ไทยมีสัดส่วนนำเข้าพลังงานที่สูง แม้ยังมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเกิดความมั่นคงทางพลังงาน ไทยจึงต้องเร่ง สร้างความร่วมมือ และใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาค และการพัฒนาพลังงานสะอาด และต้องใช้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี และ Critical Materials ที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างชาญฉลาด

หลังจากการนำเสนอของเลขาธิการ สศช. เป็นช่วงการเสวนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในหัวข้อ “การบริหารจัดการเพื่อรับมือผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก” ซึ่งเป็นการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลจากความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ในมิติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย และแนวทางการรับมือกับผลที่จะเกิดขึ้นนั้น รวมถึงแนวทางพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของประเทศ เพื่อการนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย

\'สภาพัฒน์\' ชี้ 8 ข้อผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์ แนะไทยใช้โอกาสยกระดับเศรษฐกิจ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเสนอสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกในภาพรวมที่ส่งผลต่อโลกและประเทศไทย การวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ด้านนโยบายระหว่างประเทศที่เหมาะสมเพื่อรับมือความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ รวมถึงการแสวงหาโอกาสจากการที่ประเทศต่างๆ พยายามหาพันธมิตร เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นำเสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากมาตรการทางเศรษฐกิจ การกีดกันทางการค้าระหว่างขั้วอำนาจ ซึ่งกระทบต่อการค้าการลงทุน และการส่งออกของไทย การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลก รวมถึงการปรับตัวของภาคเอกชนเพื่อรับมือความผันผวนจากสถานการณ์ความขัดแย้งหรือความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอแนวทางการสร้างความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และท่าทีที่เหมาะสมของไทยในการรับมือสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจำนวนผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน เช่น ปัญหาแรงงาน ปัญหาอาชญากรรม และ

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นำเสนอผลจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารของโลก และของไทย และแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และยกระดับความสามารถในการผลิตทั้งด้านคุณภาพ และปริมาณเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศไทย และสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์