'เอกนัฏ'ชูภารกิจ 4 เซฟ เร่งฟื้นประเทศสางปัญหาสะสม
"เอกนัฏ" ชงภารกิจหลัก 4 เซฟ ท้าทาย ถือเป็นปัญหาสะสมตลอด 10 ปี ยันวิกฤติสิ่งแวดล้อมสำคัญต้องทำทันที เหตุไทยใช้งบฟื้นฟู "น้ำท่วม-น้ำแล้ง" เฉลี่ยปีละกว่า 1 แสนล้านบาท
KEY
POINTS
- ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยต้องมุ่งสู่ความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากสถานการณ์ ภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการกีดกันทางการค้า
- รัฐบาลมุ่งมั่นเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันผู้ประกอบการ พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและโครงสร้างการผลิต โดยจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ จึงต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้
- อยากฝากให้ทุกภาคส่วนช่วยกันเซฟ คือ เซฟสิ่งแวดล้อม เซฟอุตสาหกรรม เซฟเอสเอ็มอีและเซฟประเทศ หลายเรื่องเป็นความท้าทายเป็นปัญหาที่สะสมมาเป็น 10 ปี ต้องแก้เดี๋ยวนี้
ด้วย เทรนด์โลก ที่เปลี่ยนไป การดำเนินธุรกิจจึงต้องเปลี่ยนไปตาม ทิศทางการค้าโลก ดังนั้น โครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่จึงต้องมีการปรับปรุงเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยเฉพาะนโยบายการดำเนินธุรกิจเพื่อคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า แม้ เศรษฐกิจไทย ในไตรมาส 2 ปี 2567 จะขยายตัว 2.3% แต่เพื่อรักษาการเติบโตในระยะยาว จำเป็นต้องกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ยกระดับด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน
ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยต้องมุ่งสู่ความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากสถานการณ์ ภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและโครงสร้างการผลิต โดยจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ ซึ่งประเทศไทย ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ (Now Thailand)
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นจุดหมายปลายทางการลงทุน แต่เป็น "ทางด่วน" ที่จะเร่งการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายเอกนัฏ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสภาพภูมิอากาศโลก ได้ส่งผลกระทบวงกว้าง จึงอยากให้คำนึงว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น น้ำท่วมหนักในภาคเหนือขณะนี้ ได้สิ่งสัญญาณว่าปัญหาได้มาเคาะประตูบ้านแล้ว อีกทั้ง ยังเป็นน้ำท่วมในจุดที่ไม่เคยท่วมมาก่อน เช่น ที่อยู่อาศัย และพื้นที่ที่เป็นเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ จึงกระทบภาคท่องเที่ยวอย่างหนัก
ทั้งนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาน้ำท่วม และภัยแล้ง ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะประเทศอยู่กับการทำเกษตรกรรม เมื่อ สภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยน้ำท่วม ภาครัฐได้ใช้งบประมาณบริหารจัดการทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งปีละกว่า 1 แสนล้านบาท หากนับรวม 10 เป็นก็เป็นเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งในที่นี้ยังยังไม่รวมปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ส่งผลกระทบภาคท่องเที่ยวเป็นวงกว้าง ดังนั้น หากไม่ทำเดี๋ยวนี้ก็จะไม่ทันแน่นอน จะเหมือนมะเร็งร้ายที่กินร่างกายไปเรื่อย ๆ
"อยากฝากให้ทุกภาคส่วนช่วยกันเซฟ คือ 1. เซฟสิ่งแวดล้อม 2. เซฟอุตสาหกรรม 3. เซฟเอสเอ็มอีไทย และ 4. เซฟประเทศ เพราะภารกิจนี้สำคัญ หลายเรื่องเป็นความท้าทายเป็นปัญหาที่สะสมมาเป็น 10 ปี ต้องแก้เดี๋ยวนี้ และเราต้องช่วยกันให้คำสัญญาร่วมกัน ต้องไม่ยอมจนกว่าจะทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ" นายเอกนัฏ กล่าว
นายเอกนัฏ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายขับเคลื่อน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. การจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นพิษ
2. การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
3. การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่
โดยมียุทธศาสตร์ในการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการให้บรรลุเป้าหมายของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเติบโตไปพร้อมกับชุมชน ตามแนวทาง MIND 4 มิติ
สำหรับภารกิจสำคัญในปีงบประมาณ 2568 กระทรวงฯ จะมุ่งเน้นการส่งเสริม Soft Power การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การยกระดับเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว การขับเคลื่อนศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล การลดมลพิษทางอากาศ การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการยกระดับการบริการของกระทรวง