ธุรกิจรถโดยสาร 1.3 หมื่นคัน ‘คมนาคม’ ตรวจเข้มใช้แก๊ซ

ธุรกิจรถโดยสาร 1.3 หมื่นคัน ‘คมนาคม’ ตรวจเข้มใช้แก๊ซ

“คมนาคม” ถอดบทเรียนสั่งตรวจสอบรถโดยสารประเภท NGV โดยใช้ถังแก๊ส CNG ทั่วประเทศทั้งหมด 13,426 คันแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน เล็งแก้กฎหมายใบอนุญาตอายุรถโดยสารไม่ประจำทางตลอดชีพ นายกฯ ย้ำ ทัศนศึกษาไม่ได้ทำร้ายเด็กสั่งวางกฎเกณฑ์รถเดินทางไกล

จากเหตุรถบัสทัศนศึกษาโรงเรียนใน จ.อุทัยธานี เกิดไฟไหม้บน ถ.วิภาวดีรังสิตขาเข้าได้สร้างความสะเทือนใจวงกว้าง และทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความปลอดภัยของรถบัสที่ใช้ในปัจจุบันว่าผู้ให้บริการมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เพียงพอหรือไม่ รวมถึงการอพยพหรือการจัดการกับเหตุฉุกเฉินด้วย

กรมการขนส่งทางบกรายงานการตรวจสอบสภาพรถประเภท NGV ที่ใช้ถังแก๊ส CNG ทั้งหมด 13,426 คัน แบ่งเป็น รถประจำทาง 10,491 คัน และรถไม่ประจำทาง ประเภท 30 จำนวน 2,935 คัน ซึ่งกำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมมาตรการแนวทางป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและรายงานข้อมูลกรณีอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัส ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยมีการรายงานเหตุไฟไหม้รถโดยสารไม่ประจำทางทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567

ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบเป็นรถโดยสารชั้นเดียวมาตรฐาน 1 (ข) ปรับอากาศ ล่าสุดได้ยกเลิกการประกอบการของผู้ประกอบการรถคันที่เกิดเหตุแล้ว รวมทั้งสั่งการให้ออกมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำรอยเดิม โดยมีมาตรการเร่งด่วน ประกอบด้วย

1.ให้กรมการขนส่งทางบก ตรวจสอบสภาพรถประเภท NGV ที่ใช้ถังแก๊ส CNG ทั้งหมด 13,426 คัน โดยหากพบว่ารถไม่ผ่านการตรวจสภาพจะถูกยึดใบอนุญาตรถทันทีคาดว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน หรือ ภายใน พ.ย. 2567

2.ให้กรมการขนส่งทางบกออกกฎระเบียบของรถไม่ประจำทางประเภท 30 โดยกำหนดให้มีพนักงานประจำรถเช่นเดียวกับรถโดยสารประจำทาง ซึ่งต้องได้รับการอบรมและผ่านการทดสอบหลักสูตรการเผชิญเหตุและการช่วยเหลือผู้โดยสาร (Crisis Management)

3.ให้กรมขนส่งทางบกสั่งการไปยังกรมขนส่งจังหวัดทำหนังสือถึงสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ กรณีนำรถเช่าเหมาหรือรถโดยสารไม่ประจำทางไปใช้บริการ หากจำเป็นต้องเดินทางทัศนศึกษาตามหลักสูตร ต้องประสานความร่วมมือกับขนส่งจังหวัดเพื่อตรวจสภาพรถ และต้องได้รับใบอนุญาตมาตฐานความปลอดภัยจากกรมกรมการขนส่งทางบกก่อนออกเดินทางทุกคัน

4.ให้ศึกษากฎหมายจราจร เช่น การทบทวนอายุการใช้งานรถก่อนออกเดินทาง โดยกำหนดให้รถโดยสารไม่ประจำทาง ประเภท 30 สาธิตวิธีการและแนะนำการเอาตัวรอดขณะเกิดเหตุบนรถโดยสารเหมือนการสาธิตบนเครื่องบิน

5.ยกระดับมาตรฐานการประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทาง ประเภท 30 ทั้งระบบ เช่น การประกอบการ การตรวจสภาพ การให้บริการ

เล็งกำหนดอายุรถโดยสารไม่ประจำทาง

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การตรวจสอบสภาพรถและการตรวจสอบถังแก๊ส CNG ตามปกติจะตรวจสภาพรถ 2 ครั้งต่อปี โดยกำหนดให้ในรอบปีภาษีผู้ประกอบการต้องผ่านการตรวจสภาพจากวิศวกรผู้ดูแล 1 ครั้ง และเมื่อครบสิ้นปีการชำระภาษีรถต้องผ่านการตรวจสภาพอีก 1 ครั้ง เช่น รอยรั่วของก๊าซ อายุการใช้งาน ตลอดจนการตรวจเช็คการเสียดสีของถังแก๊ส

ทั้งนี้ คณะกรรมการกรมขนส่งทางบกกลาง กำหนดอายุรถโดยสารประจำทาง ดังนี้ 1.รถโดยสารประจำทางที่มีระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตร กำหนดอายุการใช้งานของเลขตัวถังที่ติดภายในรถ (คัสซีรถ) ไม่เกิน 40 ปี และรถโดยสารประจำทาง ที่มีระยะทางไม่เกิน 300-500 กิโลเมตร กำหนดให้มีอายุการใช้งานของเลขตัวถังที่ติดภายในรถไม่เกิน 35 ปี

ส่วนโดยสารประจำทางที่มีระยะทางเกิน 500 กิโลเมตร กำหนดให้มีอายุการใช้งานของเลขตัวถังที่ติดภายในรถ (คัสซี) รถไม่เกิน 30 ปี ส่วนรถไม่ประจำทาง ประเภท 30 พบว่าปัจจุบันยังไม่กำหนดอายุการใช้งานของเลขตัวถังที่ติดภายในรถ (คัสซี) อย่างไรก็ตามปี 2558 หากนำรถที่เอามาบรรจุมีอายุเกินกำหนดหรือไม่ถึง 10 ปี ใช้งานของเลขตัวถังที่ติดภายในรถ (คัสซี) ได้อีก 10 ปี หรือสิ้นสุดที่ปี 2568

เร่งตั้งคณะกรรมการควบคุมรถโดยสารทั้งระบบ

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการเพื่อทบทวนข้อกำหนดในการควบคุมรถโดยสารทั้งระบบ ประกอบด้วย สภาวิศวกร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาพิจารณาร่วมกันถึงแนวทางควบคุมมาตรฐานของรถโดยสารทั้งรถโดยสารไม่ประจำทาง รถโดยสารประจำทาง และประเภทรถตู้ต่างๆ

“จะหารือร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกำหนดที่ใช้กับรถโดยสารทั้งระบบ ซึ่งต้องมาดูรายละเอียดความเหมาะสมรวมถึงกำหนดให้มีพนักงานสอนการใช้ประตูฉุกเฉินบนรถโดยสารคล้ายกับบนสายการบิน ซึ่งจะใช้เวลาหารือกันแล้วเสร็จภายใน 15 วัน”

ระบุสั่งพัก-เพิกถอนใบอนุญาตคนขับรถบัส

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มาตรการการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ประกอบการขนส่งและผู้ขับรถ โดยสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบการขนส่งของนางสาวปาณิสรา ชินบุตร ทันที และหากตรวจสอบพบว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากความบกพร่องผู้ประกอบการขนส่ง จะทำการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่งต่อไป

ขณะเดียวกันยังได้สั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถของนายสมาน จันทร์พุฒ ในทันที และหากตรวจสอบพบว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากผู้ขับรถจะทำการเพิกถอนใบอนุญาตขับรถต่อไป อีกทั้งสั่งยกเลิกการขึ้นทะเบียนเป็นบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (TSM) ของนางกนิษฐา ชินบุตร

พร้อมทั้งตรวจสอบการดำเนินงานของสถานติดตั้งตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง บริษัท ออลเทอร์เนทีฟ รีซอส เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบระบบก๊าช CNG ของรถโดยสารคันดังกล่าว หากพบว่ามีความผิดจะเพิกถอนหนังสือรับรองต่อไป

พบรถคันเกิดเหตุมีอายุการจดทะเบียน 54 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถโดยสารคันที่เกิดเหตุไฟไหม้ดังกล่าว เป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ) พบข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกจดทะเบียนผู้ประกอบการขนส่ง ภายใต้ชื่อนางสาวปาณิสรา ชินบุตร มีเลขใบอนุญาตประกอบการขนส่ง สห.1/2564 ซึ่งจะสิ้นอายุวันที่ 7 มี.ค.2569

ทั้งนี้จดทะเบียนครั้งแรกวันที่ 19 ก.พ.2513 หรือมีอายุการจดทะเบียน 54 ปี ก่อนจดทะเบียนใหม่ 26 ต.ค.2561 เพราะดัดแปลงโครงคัสซี เปลี่ยนขนาดสัดส่วน - ชนิดรถ ISUZU เลขตัวรถ 2105472 โดยมีชนิดเครื่องยนต์ BENZ เลขเครื่องยนต์ 422915-20-590053 ชนิดเชื้อเพลิงก๊าซ CNG รองรับจำนวนที่นั่งโดยสาร 41 ที่นั่งมีการตรวจสภาพครั้งล่าสุดวันที่ 23 พ.ค. 2567 

และจะสิ้นอายุภาษีวันที่ 30 มิ.ย. 2568 ขณะเดียวกันรถโดยสารได้ผ่านการตรวจสอบระบบก๊าช CNG โดยบริษัท ออลเทอร์เนทีฟ รีซอส เอ็นจิเนียริง จำกัด

นายกฯ สั่งเข้มงวดตรวจสอบรถ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาของคณะครูและเด็กนักเรียนเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การทัศนศึกษาเป็นการเปิดโลกให้กับเด็ก ซึ่งไม่อยากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การทัศนศึกษาไม่ได้ทำร้ายเด็ก แต่รถที่ไม่มีการดูแล หรือถูกตรวจสอบสภาพ คือสิ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเรื่องนี้ต้องแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รถทุกคันก่อนออกเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกลต้องตรวจสอบสภาพก่อนออกเดินทาง พร้อมกำชับให้วางแนวปฏิบัติในการเดินทางที่ต้องซักซ้อมความปลอดภัยเช่นเดียวกับการโดยสารเครื่องบิน