‘ไทย’ต้องคว้าโอกาส บนเวทีอาเซียนซัมมิท
การประชุมสุดยอดอาเซียน หรือ “อาเซียนซัมมิท” ครั้งที่ 44 และ 45 ระหว่างวันที่ 9-11 ต.ค. 2567 ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้น ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) โดยการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีผู้นำใหม่ของประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วมประชุมด้วย 2 คน
คือ นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” จากไทย และ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ดังนั้นเวทีนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ “ไทย” จะได้ตะโกนบอกชาวโลกว่า เรามีศักยภาพและความพร้อมแค่ไหนภายใต้ผู้นำหญิงคนใหม่
แน่นอนว่า การเดินทางมาร่วมประชุมของ “แพทองธาร” ย่อมต้องถูกจับตาจากชาวโลก ว่า เธอมีดีอะไรและจะแสดงบทบาทท่าทีต่อประเด็นต่างๆ ในระดับภูมิภาคอย่างไร ซึ่งการประชุมครั้งนี้ต้องบอกว่า “พิเศษ” เพราะเป็นการประชุมรวม 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 44 ที่จะมีการประชุมแบบเต็มคณะ และการประชุมครั้งที่ 45 จะเป็นการประชุมแบบไม่เป็นทางการ โดยเป็นการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา วงหารือหลักๆ เกี่ยวข้องกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
จะว่าไปแล้วก่อนการประชุมอาเซียนซัมมิทในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ได้มีโอกาสโชว์วิสัยทัศน์ต่อเรื่องดังกล่าวไปบ้างแล้วบนเวที ASEAN Economic Outlook 2025:The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเธอได้ย้ำถึงการผลักดันให้ไทยกลับมาผงาดบนเวทีอาเซียนอีกครั้งผ่าน 4 ประเด็นหลัก โดยท่านนายกฯ ย้ำบนเวทีสัมมนาของกรุงเทพธุรกิจว่า อาเซียนต้องรวมเป็นหนึ่งด้านเศรษฐกิจ มีกฎเกณฑ์การค้าการลงทุนและภาษีที่สอดคล้องกัน เพื่อให้ผู้ลงทุนรู้สึกว่าการลงทุนในประเทศไทยเท่ากับได้ลงทุนในอาเซียน
ส่วน 4 ประเด็นหลักที่ท่านนายกฯ บอกเอาไว้ว่าจะสื่อสารผ่านการประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.โอกาสในการเติบโตของอาเซียนยังมีสูงมาก 2.การยึดมั่นในสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในกลุ่มอาเซียน 3.การเชื่อมโยงทางภาคขนส่งซึ่งนำไปสู่การค้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจร่วมกัน และ 4.การส่งเสริมนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของทั้งโลก ซึ่งรายละเอียดต่างๆ สามารถติดตามได้ในทุกช่องทางของกรุงเทพธุรกิจ
ดังนั้นแล้วภารกิจของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” บนเวทีอาเซียนซัมมิท ที่นอกจากการเข้าร่วมประชุมกับผู้นำอาเซียนแล้ว เวทีนี้ยังนับเป็นโอกาสที่ “แพทองธาร” จะได้ฉายแสงในฐานะผู้นำคนใหม่และยังเป็นคนรุ่นใหม่ของไทย ที่สำคัญยังเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้บอกกับชาวโลกว่า “ไทย” พร้อมแล้วที่จะกลับมามีบทบาทบนเวทีอาเซียนและเวทีโลกอีกครั้ง ผ่านการแสดงจุดยืนต่างๆ หลังจากช่วงที่ผ่านมาบทบาทของไทยบนเวทีเหล่านี้ลดลงไปมาก