กยท. ถกผู้ประกอบกิจการยาง ย้ำดันยางไทยเดินหน้าต่อEUDR 100%

กยท. ถกผู้ประกอบกิจการยาง ย้ำดันยางไทยเดินหน้าต่อEUDR 100%

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) หารือภาคเอกชน ดึงผู้ประกอบกิจการยาง ร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงานEUDRเผย!เดินหน้าต่อทุกรูปแบบ “ตลาดต้องไปได้ เกษตรกรต้องอยู่ได้” ดันยางไทยสู่มาตรฐานสากล

นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กยท. ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการผลักดันผลผลิตยางไทยภายใต้มาตรฐาน EUDR   โดยหลังจากที่คณะกรรมาธิการส่งเสริมการสนับสนุนดำเนินการตามกฎระเบียบว่าด้วยการไม่ตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป ได้เสนอขยายระยะเวลาเริ่มบังคับใช้กฎระเบียบEUDRไปอีก 12 เดือน เพื่อให้ทุกประเทศมีเวลาเตรียมความพร้อมให้สามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นครอบคลุมทุกมิติ 

กยท. ถกผู้ประกอบกิจการยาง ย้ำดันยางไทยเดินหน้าต่อEUDR 100%

ซึ่ง กยท. ยังคงเดินหน้าผลักดันและเตรียมความพร้อมทุกรูปแบบเพื่อบริหารจัดการยางพาราตามกรอบมาตรฐานEUDRอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคเอกชนในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันและเตรียมเข้าพูดคุยกับเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ในทุกพื้นที่ ในการจัดหาผลผลิตยางEUDRให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ยางของผู้ประกอบการ

 

กยท. ถกผู้ประกอบกิจการยาง ย้ำดันยางไทยเดินหน้าต่อEUDR 100%

รวมถึงจะทำความเข้าใจกับเกษตรกรในเรื่องความเสี่ยงและแนวทางการปฏิบัติตนตามหลักเกณฑ์EUDRอย่างจริงจัง ซึ่ง กยท. ให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน“ตลาดต้องไปได้ เกษตรกรต้องอยู่ได้”

“ฝากย้ำไปถึงพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางทุกท่านว่า การขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎระเบียบนี้ เป็นการประกาศเลื่อน ไม่ใช่การประกาศยกเลิก ทิศทางในอนาคตยังคงต้องเดินหน้าตามกฎระเบียบดังกล่าว ขอให้พี่น้องชาวสวนยางอย่าตระหนกตกใจ แต่ให้ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาปรับปรุงข้อมูลระบบให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ยางพาราไทยมีความพร้อม 100% ในการส่งออกสู่ตลาดโลก ตามมาตรฐานสากล”

กยท. ถกผู้ประกอบกิจการยาง ย้ำดันยางไทยเดินหน้าต่อEUDR 100%

นอกจากนี้ ผู้แทนภาคเอกชนที่เข้าร่วมยังเห็นชอบราคากลางเปิดตลาดที่ กยท. กำหนด โดยถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผล และยังเสนอให้ กยท. เปิดซื้อ-ขายยางEUDRทุกวัน ซึ่งจะถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญในการเดินหน้าขับเคลื่อนวงการยางพารา โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป