‘คลัง’ ไม่ห่วงไทยเสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง

‘คลัง’ ไม่ห่วงไทยเสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง

กระทรวงการคลัง ไม่ห่วงไทยเสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่อง จากสถิติเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศปี 67 ทำลายสถิติ 10 ปี 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ตอบคำถามกรณีที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกลดเครดิตเรตติ้ง จากปัจจุบันที่ระดับ BBB+ ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ ซึ่งความเสี่ยงของเครดิตเรตติ้งก็ขึ้นอยู่กับข้อสมมติฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ได้สะท้อนจากตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 ที่ทำลายสถิติ 10 ปี และหากรวมตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2565-2567 จะมีเม็ดเงินมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าต่างประเทศยังสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่ และเม็ดเงินเหล่านี้จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นผลให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เร่งสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนให้เกิดการลงทุนซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานตามมา มาตรการสนับสนุนการบริโภค รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งกองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์ เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนสำคัญอย่าง

รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งค้างมาตั้งแต่ปี 2561 โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่จำเป็นเพราะจะช่วยทำให้เศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท

"ความเสี่ยงของเครดิตเรตติ้งขึ้นอยู่กับข้อสมมติฐาน ถ้าเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 3% ไปเรื่อยๆ มันก็จะมีผลไปถึงเรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้เอสเอ็มอีที่จะแก้ไขยาก เพราะเรื่องเหล่านี้ต้องพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงๆ" นายพิชัย กล่าว

นอกจากนี้ ในส่วนของหนี้สาธารณะรัฐบาลต้องการทำให้สมดุลให้ได้ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นก็ต้องทำให้การขาดดุลสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ เมื่อการขาดดุลของประเทศเป็นแบบนี้ การแก้ปัญหาก็ไม่สามารถทำได้แค่ 1-2 ปี เพราะเราอาจจะไหวตัวช้าไปนิด ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ต้องยอมรับสภาพ แต่หลังจากนี้ก็ต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการลงทุนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ เติบโตไปอย่างต่อเนื่อง การจะมาพูดว่าเศรษฐกิจโตที่ 2% กว่า แล้วอยู่ๆ เติบโตแบบก้าวกระโดดไปที่ 4% คงเป็นไปไม่ได้ เรื่องของตัวเลขการเติบโตต่างๆ ต้องมีที่มาที่ไปที่ชี้แจงได้อย่างชัดเจนด้วย 

นายพิชัย กล่าวต่อว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะไม่ได้พิจารณาแค่ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องความแน่นอน และความชัดเจนทางการเมืองที่จะถูกหยิบยกขึ้นไปพิจารณาด้วย ดังนั้น หากรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็สามารถทำหน้าที่บริหารประเทศได้ต่อเนื่องน่าจะเป็นปัจจัยที่ดีกว่า 

"ส่วนตัวหวังว่าที่ผ่านมาประเทศไทยน่าจะได้เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างแล้ว และคิดว่าน่าจะถึงจุดที่ประเทศไทยจะต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้แล้ว เวลาผมทำงาน ผมก็กังวลทุกเรื่อง เมื่อคิดดูแล้วไม่เห็นว่าประเทศไทย จะมีอะไรด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านเลย อาจจะมีแค่เรื่องเดียวคือ ความชัดเจนของการลงทุนใหม่ หากทำตรงนี้ได้จะตอบได้ว่าในระยะต่อไปการลงทุนจะมาแน่ แต่เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น สะท้อนจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็กำไรดี และจะได้เห็นอย่างอื่นดีตามมาในไตรมาส 4/67" นายพิชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนนอกประเทศ ทิศทางเงินเฟ้อไม่ขึ้น หลายประเทศยังต้องการลดอัตราดอกเบี้ย สิ่งที่จะตามมาก็คือ ตลาดทุนจะมีความตื่นตัว ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งไทยถือเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่เราก็หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. ขอชี้แจง และยืนยันว่า ยังไม่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพ

โดยข้อเท็จจริงจากการเผยแพร่รายงานการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่จัดทำโดย บริษัท S&P Global (S&P) และบริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ที่มีการเผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 28 พ.ย.2566  และวันที่ 11 เม.ย.2567  ตามลำดับ ซึ่งเป็นรายงานบทวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันมากกว่าที่ศูนย์วิจัยฯ ภาคเอกชนดังกล่าวนำมาอ้างอิง 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์