เครดิตบูโรเปิด ‘หนี้เสีย‘ ทะลุ 1.2 ล้านล้าน เข้าแก้หนี้เรื้อรังแค่ 5.3 พันบัญชี

เครดิตบูโรเปิด ‘หนี้เสีย‘ ทะลุ 1.2 ล้านล้าน เข้าแก้หนี้เรื้อรังแค่ 5.3 พันบัญชี

เครดิตบูโรเปิดหนี้เสียไตรมาส 3 ทะลัก 1.2ล้านล้าน มีหนี้จ่อเสียอีก 6.4 แสนล้าน ขณะที่โครงการแก้หนี้เรื้อรังพบลูกหนี้เข้าโครงการแก้หนี้เพียง 5.3 พันราย จากลูกหนี้เข้าข่ายที่ 5 แสนราย

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) โพสต์เฟซบุ๊กถึง สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันว่า สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​ 8 สิงหาคม​ 2567​ ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่เห็นหรือรวมผลกระทบจากการที่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่​

โดยตัวเลขที่น่าสนใจจะเป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส​ 3 กันยายน​ 2567​ ซึ่งจะออกมาในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิ​กายน​ 2567 นี้ครับ จากภาพที่แสดง​ 6ภาพมีความหมาย ดังนี้

1.จากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ครอบคลุมหนี้สินรายย่อยของประชาชนที่ไม่รวมลูกหนี้นิติบุคคลนั้น

ซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงิน​สมาชิกเครดิตบูโร​กว่า​ 158 แห่งพบว่า​มียอดสินเชื่อ​ 13.63 ล้านล้านบาท​ มีการเติบโต​ YoY​ 0.8%, MoM 0.0% คือแทบไม่มีการเติบโต​

2.หนี้เสียหรือ​ NPL มาหยุดอยู่ที่​ 1.18 ล้านล้านบาทเคลื่อนที่ช้าๆไปสู่จุด​ 1.2 ล้านล้านบาทตามที่ๅคาดการณ์​ไว้เมื่อต้นปี​ 2567​ คิดเป็นอัตราส่วน​ 8.7% ของยอดสินเชื่อรวมครับ​

แน่นอนว่าหนี้เสียก้อนนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน​ กำลังรอมาตรการแก้ไขแบบแรงๆ​ มีแรงจูงใจสูงทั้งเจ้าหนี้​ ลูกหนี้​ ให้เข้ามาตกลงกัน​ ภายใต้กติกาที่ผู้กำกับดูแลน่าจะได้ขยับเข้ามากระชับพื้นที่​ (ได้แล้ว)​ ผลัดกันเขียน​ เวียนกันอ่าน​ ผ่านกันชม​ เม้นท์​กันไปมา​ หาเหตุติชม​ มันอาจกินเวลาที่ดอกเบี้ยมันเดินทุกเมื่อเชื่อวันของผู้คนปกติธรรมดา​ เดินดิน​ กินข้าวกล่อง​ ที่ไม่ได้เข้าใจภาษาเทพภาษาพรหมของท่านๆนะครับ​ ภาษาชาวบ้าน​ จะทำอะไรก็รีบทำ​ ดอกมันเดิน​ทุกวัน​ จะได้กดเข็มไมล์เดินหน้ากับชีวิตพิชิตหนี้กันต่อไป...

3.หนี้กำลังจะเสียหรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือ​ SM ในเดือนสิงหาคม​ 2567 ในระบบของเครดิตบูโร​มาหยุดอยู่ที่​ 6.4 แสนล้านบาทคิดเป็น​ 4.7% นิ่ง ๆ

มาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันหรือ​ DR หรือ​ Preemptive​ Debt​ Restructure ที่เริ่มให้มีการบันทึกข้อมูล​ในระบบเครดิตบูโรตั้งแต่เมษายน​ 2567​ ตอนนี้มียอดสะสมจนถึงสิงหาคม​ 2567​ คิดเป็น​จำนวน​ 1 ล้านบัญชีเศษ​ ผมก็ไม่รู้ว่าทำกันมากน้อยเพราะไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบก่อนหน้าเดือนเมษา​ 2567​ เพราะไม่ได้รับอนุญาต​ให้เก็บข้อมูล​นี้ จำนวนเงินที่ทำ​ DR​ สะสมจนถึงตอนนี้​ 5.4 แสนล้านบาท​ มาตรการนี้เป็นเหมือนฝายทดน้ำไม่ให้​ SM ไหลไปเป็น​ NPLs เพราะตามเกณฑ์​การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ​ เจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ถ้าเห็นว่าลูกหนี้จะผ่อนตามเงื่อนไขเดิมไม่ไหว​

กล่าวคือปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างเกิน​ 90 วัน​ ที่กำลังมีจำนวนทวีเพิ่มคือ​ ลูกหนี้เริ่มร้องมาที่เครดิตบูโร​ว่า​ พอเขาไปทำ​ DR มันกลายเป็นเหตุทำให้เขาขอสินเชื่อไม่ได้​ ถูกปฎิเสธ​ หรือบางลูกหนี้บอกว่าเขายอมเข้าโครงการ​ DR.เพราะนึกว่าวันไม่ใช่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะมีการใส่รหัสไว้ในรายงานเครดิตบูโร​

บางรายก็บอกว่าข้อเสนอเจ้าหนี้ที่ให้ทำ​ DR ไม่พูดชัดว่าถ้าทำแล้วอาจจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง​ กล่าวสรุปคือบอกว่า​ รู้ว่าจะโดนปฎิเส​ธสินเชื่อก็อาจจะไม่เข้าโครงการ​ DR ท่านที่ออกกติกาครับ​ โปรดลงไปพูดจาให้เกิดการปฎิบัติอย่างที่ท่านมุ่งหมายด้วยนะครับ​

เป้าตัวเลขที่อยากได้​จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ กับปริมาณ​คำร้องที่มันเริ่มทวีมากขึ้น​ ท่านต้องรับด้วยนะครับ ถ้าเอาใจลูกหนี้มากก็เละ​ ถ้าไม่ชัดกับเจ้าหนี้มันก็ละล้าละลัง​กันไปทั้งขบวน สถานการณ์​แบบ "กลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง" ถ้ายังเป็นแบบนี้​ ขยันทำอยู่ผิดที่ 10ปี ก็ไม่ถึงเป้าหมายอ่ะครับ

4.สามภาพต่อมาคือข้อมูล​บางส่วนที่ท่านเลขา​ กนง. ได้นำออกมาแถลงชี้แจงผลการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายของ​ กนง. นะครับ​

กล่าวคือท่านผู้อ่านจะเห็นการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภทที่แสดงนั้นเติบโตในอัตราลดลง​ โดยเฉพาะเส้นสีฟ้าคือสินเชื่อ​ SME ติดลบ​ 3.3%

ขณะที่​ NPLs​ ของสถาบันการเงิน (โปรดดูคำนิยามนะครับว่าครอบคลุมใครบ้าง​ เดี๋ยวจะงงว่าครบไม่ครบ)​ โดยเฉพาะ​ SMEs มันไปถึง​ 9.1% (ดูคำนิยามด้วยครับว่าใครคือ​ SME​s) ต่อด้วยสรุปประเด็นสำคัญจากการตัดสินใจของ กนง.ว่าเหตุปัจจัยที่ออกมา​ 5:2 ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นคืออะไร

มีข้อมูล​เพิ่มเติมเล็กๆคือบัญชีสินเชื่อที่ถือว่าเป็นหนี้เรื้อรังที่ควรต้องได้รับการแก้ไข​ (Severe PD) ได้รับข้อเสนอจากเจ้าหนี้ให้เข้าโครงการแก้ไข​

และลูกหนี้ตอบรับการเข้ากระบวนการแก้ไขมีจำนวน​เพียง 5.3 พันบัญชีจากจำนวน​ 5 แสนบัญชีที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง (ข้อมูล​ตามการแถลง)​ คิดเป็นเงินที่เก็บข้อมูล​ได้​ว่าเข้าโครงการปิดจบใน​ 5 ปีที่ดอกไม่เกิน​ 15% มีจำนวน 247 ล้านบาทจากยอดที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง​ทั้งหมดประมาณ​ 9.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล​ตามการแถลงเช่นกัน)

ภาพสุดท้าย​ ผมใคร่ขอเสนอเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ​ ว่าเมื่อเราได้มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่เรามุ่งหวัง​ ทะเยอทะยาน​ มุ่งมั่นเติบโต​จนมาถึงตำแหน่งแห่งที่นี้ หรือตัวเราในอดีตได้สมัครเข้ามาทำหน้าที่นั้นแล้ว​ อย่าลืม​วันนั้น

อย่ากลัววันนี้ที่จะเสียตำแหน่ง​ แต่ควรกลัวที่จะไม่ได้ใช้ตำแหน่งแห่งที่​ อำนาจวาสนานั้น​ในเวลานี้ที่อยู่ในมืออย่างเต็มศักยภาพ​ คุ้มกับค่าจ้าง คุ้มกับความสนับสนุน​เพื่ออำนวยผลประโยชน์​ในทางบวกแก่ผู้คน (เปราะบาง แม้ไม่มีคำนิยามชัดจนถูกกล่าวว่ามันคือเพียง"วาทกรรม"เพื่อให้ดูดี)