“CBAM สหรัฐ" จับตารัฐบาลใหม่ งัดใช้อาวุธลับโต้คู่แข่งการค้า
ท่ามกลางตัวเร่งและแรงเหวี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ทำให้ทุกประเทศทุกภาคส่วนต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในระยะเวลาที่กำหนด หรือ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ปี 2030 ซึ่งก็เหลืออีกไม่กี่ปี แต่ดูเหมือนว่าผลของความพยายามยังไปไม่ถึงไหน
นำไปสู่ข้อเสนอที่ว่าด้วยการนำกฎหมายมาบังคับใช้ ซึ่งข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมในหลายๆประเทศยกเว้นสหภาพยุโรป หรือ EU ดูจะไม่คืบหน้าเท่าที่ควร อาจรวมถึงประเทศไทยด้วยที่ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ..... ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ยังไม่ต้องลุ้นในขั้นตอนรัฐสภาที่อาจต้องใช้เวลาอีกนาน
สหรัฐมีกําหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.2567 ช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อการเปลี่ยนคณะผู้นำประเทศ นั้น สหรัฐ มีแผนออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลายฉบับและมีความเข้มข้นไม่แพ้ CBAM หรือ ‘Carbon Border Adjustment Mechanism’ มีชื่อไทยว่า ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน’ ของEU
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สหรัฐมีความพยายามออกร่างรัฐบัญญัติ the Fair, Affordable, Innovative, (FAIR) and Resilient Transition and Competition Act และ ร่างรัฐบัญญัติ the Clean Competition Act ซึ่งทั้งสองฉบับนี้ไม่ผ่านวาระการพิจารณา และตกไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2566
แต่ยังคงเหลือ ร่างรัฐบัญญัติ the Providing Reliable, Objective, Verifiable Emission Intensity and Transparency (PROVE IT) Act และ ร่างรัฐบัญญัติ the Foreign Pollution Fee Act ที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา โดยร่างรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าวจะนําไปสู่การบังคับใช้มาตรการCBAM ของสหรัฐนั่นเอง และมีมุ่งเป้าไปที่สินค้านำเข้าจากจีนและประเทศปล่อยคาร์บอนสูง
สำหรับสินค้าที่เข้าข่ายน่าจะโดนมาตรการนี้ก็เช่น อะลูมิเนียม ,เชื้อเพลิงชีวภาพ, ซีเมนต์ ,แก้ว ไฮโดรเจน แมธานอล หรือ แอมโมเนีย,เหล็กและเหล็กกล้า , แบตเตอรีลิเธียม ,พลาสติก ,เซลล์และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม หากร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวผ่านขั้นตอนการพิจารณาบังคับใช้เป็นรัฐบัญญัติอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่เสีย
ประโยชน์และส่งผลกระทบต่อฐานเสียงพรรคการเมืองได้ ดังนั้น ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง จะเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวจะถูกชะลอหรือตกไปพร้อมกับสภาคองเกรสสมัยปัจจุบันที่จะสิ้นลงในต้นเดือนม.ค. 2568
แม้กฎหมายสิ่งแวดล้อมทั้ง 4 ฉบับของสหรัฐจะไม่มีความคืบหน้าและส่อไปในทางที่จะตกขบวนการพิจารณาแต่สาระสำคัญของกฎหมายเหล่านี้ คืออาวุธลับที่จะนำมาใช้ตอบโต้คู่แข่งทางการค้าขณะเดียวกันก็มุ่งสู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้
ดังนั้น คงไม่น่าแปลกใจหากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งไม่ว่าจะขั้วใดก็ตามจะหยิบ กฎหมายสิ่งแวดล้อมทั้ง 4 ฉบับกลับมาพิจารณาใหม่ หรือ เพียงแค่บางฉบับที่จะนำมาใช้ก็จะทำให้ไทยในฐานะที่มีสหรัฐเป็นคู่ค้าเบอร์หนึ่งต้องสั่นสะเทือนเพราะกฎการค้าใหม่นี้แน่นอน