รู้จัก Slowbalization เมื่อโลกาภิวัฒน์หดตัวหนัก จากทรัมป์ America First
รู้จักเทรนด์ ‘Slowbalization’ เมื่อโลกาภิวัฒน์โลกกำลังหดตัวหนักขึ้น จากนโยบาย America First ของทรัมป์
การขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2016 และล่าสุดในเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมาถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของระบอบประชาธิปไตยและกระแสโลกาภิวัฒน์ที่นำโดยสหรัฐฯ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษาของ Freedom House (2023) ชี้ให้เห็นว่าดัชนีประชาธิปไตยทั่วโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 โดยเฉพาะในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ ซึ่งนโยบาย "America First" ได้ส่งผลกระทบต่อบทบาทความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
ดัชนีประชาธิปไตยทั่วโลกถดถอย
การถดถอยของประชาธิปไตยสหรัฐและผลกระทบต่อโลก
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ Steven Levitsky และ Daniel Ziblatt (2018) ได้วิเคราะห์ในหนังสือ "How Democracies Die" ว่าการเมืองภายในของสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ การแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น การปฏิเสธผลการเลือกตั้ง และการละเมิดบรรทัดฐานประชาธิปไตยที่เคยยึดถือมายาวนาน ล้วนส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำประชาธิปไตยโลก
นอกจากนี้ คุณภาพของประชาธิปไตยในสหรัฐลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตามการอ้างอิงของงานวิจัยของ Varieties of Democracy Institute (V-Dem) ในปี 2023 ทั้งหมดส่งผลให้ประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เริ่มหันไปพึ่งพาตนเองและพันธมิตรในภูมิภาคมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการถกเถียงทางด้านการเมืองในสหรัฐนั้นเป็นการถกเถียงที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลน้อยลง
การถดถอยของโลกาภิวัฒน์และการเติบโตของภูมิภาคนิยม
ทั้งนี้ หลังจากวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างจีนกับสหรัฐ ทำให้นักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า การค้าระหว่างประเทศและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นการพึ่งพากันในระดับภูมิภาคมากขึ้น (Regionalization) โดยที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือความพยายามจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจ BRICS ขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกรวมทั้งสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐด้วย (De-dollarization)
บทวิเคราะห์ “The steam has gone out of globalization” ของสำนักข่าวดิอิโคโนมิสต์ ได้เสนอแนวคิดเรื่อง "การโลกาภิวัฒน์ที่ชะลอตัว" (Slowbalization) ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยนักเขียนชาวดัช บทวิเคราะห์ดังกล่าวอธิบายว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่การรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับโลกชะลอตัวลง และประเทศต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาคมากขึ้น
การถกเถียงทางการเมืองในสหรัฐมีอิงข้อมูลน้อยลง
ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือการที่สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกเลือกใช้ซัพพลายเออร์สำหรับชิ้นส่วนการผลิตสินค้าของตัวเองจากกลุ่มประเทศพันธมิตรเท่านั้นและทยอยเลิกใช้ซัพพลายเออร์จากจีนจนทำให้ช่วงที่ผ่านมาเกิดกระแสบริษัทจีนหลายแห่งย้านฐานการผลิตไปแม็กซิโกหรือประเทศในอาเซียนเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าว
การเติบโตของขั้วอำนาจใหม่และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
นอกจากนี้ การถดถอยของบทบาทสหรัฐเปิดโอกาสให้มหาอำนาจอื่นๆ โดยเฉพาะจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยนักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า จีนได้ขยายอิทธิพลผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และการสร้างสถาบันระหว่างประเทศใหม่ๆ เช่น Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) และ Asian Development Bank (ADB) ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการลดการพึ่งพาอิทธิพลของสหรัฐ รวมถึงการรวมตัวของกลุ่มประเทศ BRICS ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของเทรนด์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ขณะที่บทวิเคราะห์ “Global trade relationships are reconfiguring—with trade-offs” ของ McKinsey Global Institute (2024) ระบุว่า การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะแบ่งเป็นกลุ่มตามความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก Asian Development Bank (2023) พบว่า ท่ามกลางสมรภูมิสงครามการค้าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นขึ้น ผ่านความตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) และการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกันที่เพิ่มขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วการถดถอยของประชาธิปไตยและโลกาภิวัฒน์ของสหรัฐไม่ได้หมายถึงการล่มสลายของระเบียบโลก แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น การเข้าใจพลวัตนี้จะช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถปรับตัวและวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการรักษาผลประโยชน์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า ท่ามกลางแนวโน้มการแบ่งขั้วและภูมิภาคนิยมที่เพิ่มขึ้น ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการพึ่งพาตนเองในระดับภูมิภาคกับการรักษาความร่วมมือระดับโลกในประเด็นท้าทายร่วม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแพร่ระบาดของโรค และความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง: Freedom House, How Democracies Die, Varieties of Democracy Institute (V-Dem), The Economist, McKinsey