ทอท.ชูโมเดลสิงคโปร์ ปั้นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ’สุวรรณภูมิ‘
“คมนาคม” เปิดแผนดันสนามบินไทย ติดท็อป 1 ใน 20 ของโลก พร้อมอัดเป้ารับผู้โดยสาร 200 ล้านคน ขณะที่ ทอท.ชูโมเดลสิงคโปร์ เตรียมปั้นอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่ และห้างสรรพสินค้า 2 แสนตารางเมตร
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม ได้วางเป้าหมายให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ติด 1 ใน 20 อันดับแรก ของท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกภายใน 5 ปี โดยจะเร่งดำเนินการทั้งหมด 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะเร่งด่วน เพิ่มความสะดวกสบายควบคู่ไปกับการลดระยะเวลารอคอยของผู้โดยสาร
ซึ่งปัจจุบัน ทอท. ได้ยกระดับคุณภาพการบริการและเพิ่มความรวดเร็วในหลากหลายด้าน อาทิ การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกผู้โดยสารตั้งแต่จุดตรวจคนเข้าเมือง ระบบรับกระเป๋า ไปจนถึงการเปิดใช้ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) รวมถึงการนำระบบไบโอเมตริกพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (biometric)
ขณะที่ระยะกลาง จะเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินของท่าอากาศยานหลักของประเทศ และระยะยาว มุ่งเน้นการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ พร้อมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยานและกิจกรรมให้มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมท่าอากาศยานชางงีและประชุมหารือเพื่อประสานความร่วมมือกันระหว่าง Mr. Yam Kum Weng ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้บริหารระดับสูงของ Changi Airport Group (CAG) พลตำรวจเอกวิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ ทอท. และนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.
ด้านนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า ปัจจุบัน ทอท.ได้เตรียมแผนพัฒนาเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบิน โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี ท่าอากาศยานในเขตกรุงเทพ ต้องมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 200 ล้านคนต่อปี และไปสู่เป้าหมายการเป็น 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีสุดในโลก
โดยในส่วนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีแผนจะขยายโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ใช้เวลาดำเนินการ 3 ปี รองรับผู้โดยสารเพิ่ม 15 ล้านคนต่อปี ควบคู่ไปกับการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 70 ล้านคนต่อปี เป็นรูปแบบ Mega Terminal เพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร ใกล้อาคารผู้โดยสาร อำนวยความสะดวกผู้โดยสารก่อนเดินทางและประชาชนทั่วไปสามารถมาท่องเที่ยว ในโมเดลคล้ายกับ Jewel Changi Airport ที่ท่าอากาศยานชางงี
ทั้งนี้ เมื่อพัฒนาอาคารผู้โดยสารทางทิศใต้แล้วเสร็จ และนำมารวมกับขีดความสามารถในปัจจุบันจะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี และหากรวมกับท่าอากาศยานดอนเมืองที่อยู่ระหว่างแผนพัฒนาระยะที่ 3 เพื่อรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคนต่อปี จะส่งผลให้ไทยสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 200 ล้านคนต่อปี
นายกีรติ กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายให้ ทอท. พัฒนาท่าอากาศยานเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคและติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี โดยในปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้ง Self Check-in (Kiosk) จำนวน 250 เครื่อง ติดตั้งระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) จำนวน 40 จุด ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติทั้งขาเข้าและขาออก (Auto Gate) 80 จุด และจะเพิ่มอีก 120 จุดในอนาคต
โดยมีเป้าหมายจะเปิดใช้ระบบ Autogate ทั้งหมดสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศและผู้โดยสารภายในประเทศ เหมือนกับสนามบินชางงีที่ประเทศสิงคโปร์ หลังจากที่ปัจจุบันระบบดังกล่าวสามารถช่วยลดระยะเวลารอคอยผู้โดยสารขาออกให้เหลือเพียง 2 นาทีต่อคน จากเดิมที่ 30-40 นาทีต่อคน อย่างไรก็ตาม ทอท. ได้เตรียมศึกษาแผนเปิดใช้งานระบบ Early Check-in ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง สำหรับทุกสายการบินเพื่อลดความแออัดและเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารที่มาก่อนเวลา หากศึกษาแล้วเสร็จคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในช่วง ก.พ.2568
นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดให้บริการพื้นที่พักผ่อนใหม่ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเป็นพื้นที่ให้ผู้โดยสารพักคอยและ Co-working Space ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางในการให้บริการผู้โดยสารมากขึ้น คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค.2567 รวมถึงสนามเด็กเล่นมีกำหนดแล้วเสร็จช่วง ก.พ.2568 ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับท่าอากาศยานชางงีที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้ว
ขณะที่แผนการพัฒนาท่าอากาศยานสีเขียว ปัจจุบัน ทอท.ยังได้หารือถึงแผนพัฒนาท่าอากาศยานสีเขียว (Green Airport) ร่วมกับท่าอากาศยานชางงี ซึ่งมีแผนจะร่วมมือกันในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับทางการบินยุโรปที่กำหนดให้ท่าอากาศยานทั่วโลกต้องมีเชื้อเพลิง SAF ให้บริการเติมอากาศยานภายใน 3 ปี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีของเอเชียและประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิง SAF
นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงเรื่องแผนการใช้พลังงานสะอาดโดยการติดตั้งแผงโซลาเซลล์ภายในท่าอากาศยาน ซึ่ง ทอท. ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีจะลดการใช้พลังงานช่วงกลางวันเป็นศูนย์ (Day time energy) โดยปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์อยู่ที่ 20 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับท่าอากาศยานชางงีซึ่งอยู่ที่ 35 เมกะวัตต์