ปตท.เร่งลงทุนใหม่ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ธุรกิจกักเก็บคาร์บอน-ไฮโดรเจน

ปตท.เร่งลงทุนใหม่ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’  ธุรกิจกักเก็บคาร์บอน-ไฮโดรเจน

ปตท.ย้ำธุรกิจแข็งแกร่ง เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ลุยคาร์บอนต่ำ “ไฮโดรเจน-CCS” รับเทรนด์พลังงานโลกเคลื่อนองค์กรเติบโตยั่งยืน เตรียมชงบอร์ดเคาะงบลงทุน 5 ปี ธ.ค.นี้ ในกรอบรวม 2 แสนล้านบาท ชี้หากรัฐบาลเจรจาพื้นที่ทับซ้อนกัมพูชาสำเร็จ พร้อมเข้าพื้นที่ขุดก๊าซใน 5 ปี

บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เตรียมนำเสนองบประมาณการลงทุนระยะยาว 5 ปี ให้คณะกรรมการบริหารในวันที่ 19 ธ.ค.2567 จากเดิมที่ ปตท.ประกาศแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (2567-2571) มูลค่ารวมเกือบ 2 แสนล้านบาท โดยแยกเป็นเงินลงทุนสำหรับธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ โดยธุรกิจเดิม หรือ ธุรกิจหลัก (Core Business) อยู่ที่ 8.9 หมื่นล้านบาท โดยยังเน้นไปที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก 51%

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ปตท. เน้นย้ำเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างสมดุล มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) สอดรับกับทิศทางการเติบโตของธุรกิจพลังงานโลก ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ 

1.Climate Resilience Business ปรับ Portfolio ธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน 

2.Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด

3.Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS)

นอกจากนี้ ปตท.เร่งผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) และธุรกิจไฮโดรเจน เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของบริษัทในกลุ่ม

อีกทั้ง ยังมีการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม และมีเป้าหมายนำไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับเชื้อเพลิงหลักเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในอนาคต ส่วนพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ปตท. ก็ได้มีการศึกษาเช่นกัน

“ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย พร้อมสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล มุ่งสู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน”

ผนึกพาร์ทเนอร์ตามสายธุรกิจหนุนองค์กร

นายคงกระพัน กล่าวถึงความคืบหน้าการ Revisit ว่า ขณะนี้เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งธุรกิจ Hydrocarbon และธุรกิจ Non-Hydrocarbon อาทิ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะมุ่งลงทุนสถานีชาร์จในครอบคลุมทั่วประเทศและปรับเหลือแบรนด์เดียวโดยมีบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เป็นผู้ลงทุน

สำหรับธุรกิจประกอบรถอีวีจะหาพาร์ทเนอร์ให้มาเป็นผู้นำ ตามเทรนด์ธุรกิจที่แข่งขันสูง ขณะที่ธุรกิจ Life Science มีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนและหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหาร จะทำให้แผนลงทุน 5 ปี ของปตท.ชัดเจนขึ้น โดยการประชุมคณะกรรมการปตท. เบื้องต้นกำหนดไว้วันที่ 19 ธ.ค. 2567 จะสรุปแผนธุรกิจอย่างเป็นทางการ จากปัจจุบันแผนลงทุน 5 ปี (2567-2571) ของปตท.อยู่ที่ 2 แสนลัานบาท และปตท.ร่วมกับบริษัทลูกประมาณ 1 ล้านล้านบาท

รับปีหน้ายังเหนื่อย แต่ต้องโตกว่าปีนี้

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2568 แม้ว่าภาพรวมจะยังคงเหนื่อย แต่ก็คาดว่าจะกลับมาเติบโตทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมีผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3-4% ทำให้ดีมานด์ของโลกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งธุรกิจ LNG คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้

“ปตท.จะจับตาปัจจัยเสี่ยงทั้งราคาน้ำมัน ภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อน และนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐคนใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับฟอสซิล ซึ่ง ปตท.คงนโยบายลดคาร์บอนตามเป้าหมายประเทศ”

พร้อมเข้าพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

สำหรับการพัฒนาพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา (Overlapping Claims Area หรือ OCA) ปตท.พร้อมเข้าดำเนินการเต็มที่แม้ต้องแข่งขัน เพราะมีบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.ดำเนินธุรกิจในพื้นที่ใกล้เคียง 50 กิโลเมตร มีประสบการณ์และลงทุนทั่วโลก รวมทั้งเทคโนโลยีปัจจุบันนำปิโตรเลียมมาใช้ได้ใน 5-6 ปี จากเดิม 10 ปี โดยก๊าซธรรมชาติในแหล่งนี้จะสร้างความมั่นคงและมีราคาถูก คุ้มค่ากว่า LNG

“แม้อัตราแลกเปลี่ยนและสต็อกน้ำมันยังบวก แต่ต้องนำมาบวกลบรายการพิเศษ โดยช่วง 2 ปี เมื่อดูธุรกิจแล้วกำไรบวกลบนิดหน่อย การลงทุนจะเน้นเทคโนโลยีลดค่าใช้จ่ายเพิ่มรายได้และลดคาร์บอน โดยมีเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายปีนี้ทั้งกลุ่ม 5% ตอนนี้ทำได้ 8% แล้ว ดังนั้นหลังปรับโครงสร้างใหม่ช่วง 3-4 ปีข้างหน้า ต้องโฟกัสสิ่งที่ ปตท.ถนัดเพราะโลกแข่งขันสูงเพื่อสอดคล้องกลยุทธ์ที่ง่ายและดีกับกับ ปตท.”

ผลประกอบการ 9 เดือน ทั้งกลุ่มกำไร 80,761 ล้าน

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2567 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 80,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,502 ล้านบาท หรือ 2% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกปี 2566 โดยหลังจากผลดำเนินงานธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น เพราะโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซในเดือน มี.ค.2567 มีกำไรจากการขายเงินลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และ Life Science 

รวมทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น แม้ผลการดำเนินงานรวมของ ปตท.และบริษัทย่อยลดลง เช่น ธุรกิจการกลั่นที่มี Market GRM ที่ปรับลดลง รวมทั้งมีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง

“ก๊าซที่มีกำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น จากผลกระทบของนโยบาย Single Pool ในปีนี้ รวมถึงจากการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจปิโตรเคมี”

ทั้งนี้ กำไรที่มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท.คิดเป็น 78% และมาจากผลการดำเนินงานของ ปตท.คิดเป็น 22% โดยเป็นกำไรที่มาจากธุรกิจ Hydrocarbon 94% และธุรกิจ Non-Hydrocarbon 6% โดย 9 เดือนแรกปี 2567 ปตท.และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 42,669 ล้านบาท เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยยั่งยืนอย่างสมดุล