'แพทองธาร' โชว์วิสัยทัศน์เวที Forbes ดันนโยบายพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

'แพทองธาร' โชว์วิสัยทัศน์เวที Forbes ดันนโยบายพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

“แพทองธาร” เผยนโยบายเคลื่อนประเทศไทย ชี้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเข้ามาลงทุน การเมืองกลับสู่ภาวะมั่นคง และนโยบายหนุนการลงทุนจะยังคงต่อเนื่อง ระบุรัฐพร้อมปรับกฎระเบียบ อำนวยความสะดวก วางแผนยกระดับการศึกษาพัฒนาฝีมือแรงงาน

วันที่ 21 พ.ย.2567 การประชุมซีอีโอระดับโลก “Forbes Global CEO Conference” ครั้งที่ 22 จัดขึ้นเป็นวันที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “New Paradigm” เจาะลึกถึงโลกอนาคตที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก ความตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์และการค้า สภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ไปจนถึงการเติบโตก้าวกระโดดของเทคโนโลยี และอื่นๆ โดยภายในงานรวบรวมผู้นำทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลจากทั่วโลกไว้กว่า 400 คน 

โดยเมื่อเวลา 13.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเข้าร่วมการเสวนาบนเวที ระหว่างช่วงรับประทานอาหารกลางวัน โชว์วิสัยทัศน์ ความคาดหวัง และนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย ท่ามกลางปัจจัยความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติที่เกิดทั่วโลก ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยในประวัติศาสตร์ไทย

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก และเป็นไปอย่างที่คาดหวัง ประเทศไทยจึงต้องการแหล่งเงิน และการลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาในประเทศ ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปพบบริษัทระดับโลกหลายแห่ง เพื่อชักชวนการลงทุน

เปิดทางไทย รับลงทุนใหม่

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนรัฐบาล นักลงทุนหลายรายมีความกังวล และต้องการความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่จะดำเนินนโยบายสนับสนุนการลงทุนตามเดิม ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่ายังคงให้ความสำคัญกับการลงทุน และจะยังคงดำเนินนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้น ในการเข้าร่วมงานประชุมระดับนานาชาติหลายครั้ง จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำ และหลายคนแสดงท่าทีตื่นเต้น และมีโอกาสที่จะตัดสินใจมาลงทุนในไทย

"พื้นเพของฉันเติบโตมาจากธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการบริการ จึงเข้าใจหัวอก และปัญหาของนักลงทุนเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้คุยกับซีอีโอ ผู้ที่สนใจลงทุนในไทย ฉันจะบอกพวกเขาว่ารัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่"

\'แพทองธาร\' โชว์วิสัยทัศน์เวที Forbes ดันนโยบายพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า รัฐบาลพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเพื่อต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเป็นด่านหน้าที่พร้อมอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) และช่วยเหลือให้นักลงทุนเข้าใจกฎระเบียบการขอใบอนุญาตที่ยุ่งยาก 

ขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายดีล ที่คาดว่าจะตัดสินใจมาลงทุนในไทยเร็วๆ นี้ ขณะที่หลายบริษัทระดับโลกได้ตัดสินใจลงทุนในไทยแล้ว อาทิ เอดับบลิวเอส, ไมโครซอฟต์ และกูเกิ้ล ซึ่งเชื่อว่าการลงทุนเหล่านี้จะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในประเทศ อีกทั้งรัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษา และทักษะแรงงานในประเทศให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด

”ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เศรษฐกิจประเทศไทยไม่ได้ขยายตัวอย่างหวังไว้ ซึ่งการทำเรื่องเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ดังนั้นเราจึงต้องทำหลายเรื่องไปพร้อมกัน“

ย้ำการเมืองไทยกลับสู่จุดมั่นคง

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนสิ่งที่ห่วงกังวลที่สุดคือ ความมั่นคง การเติบโตของธุรกิจ และความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลต้องการจะทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นไปได้

โดยในปีนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนในไทยจากอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มขึ้น 40% ซึ่งถือเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยรัฐบาลเชื่อว่าการที่การเมืองไทยกลับเข้าสู่จุดที่มั่งคง และจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงอีก จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ

ช่วงเวลาลงทุนไทยที่ดีที่สุด

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของประเทศไทยคือ เราตั้งอยู่ตรงใจกลางจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีความสามารถ และเทคโนโลยีด้านการผลิตอาหารสูง ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศที่ต้องการความมั่นคงทางอาหาร อีกทั้งจุดยืนของไทยยังมีความสงบ และเป็นกลางในเวทีโลก

"ประเทศไทยพร้อมแล้ว เรามีความพร้อมทั้งเรื่องเทคโนโลยี นโยบายรัฐบาลที่มั่นคง ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการตัดสินใจลงทุนในไทย"

\'แพทองธาร\' โชว์วิสัยทัศน์เวที Forbes ดันนโยบายพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

ชู "ซอฟต์พาวเวอร์ไทย" ดึงท่องเที่ยว

สำหรับการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ประเทศไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ และความเป็นไทยเป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกอยู่แล้ว ทั้งเรื่องอาหาร และผู้คน รัฐบาลจึงมีแผนเดินหน้านโยบาย “ซอฟต์พาวเวอร์“ เพื่อสร้างความจดจำประเทศไทยในระดับสากล อาทิ การเชื่อมโยงงานเทศกาลสู่การจัดงานระดับประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ใช้เวลาในประเทศไทยยาวนานขึ้น อย่างการจัดเทศกาลสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเม.ย. ที่มีการจัดงานต่างเวลากันในแต่ละจังหวัด

โดยคาดว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในปีนี้จะอยู่ที่ราว 36 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ระดับเดิมก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปีหน้า

นอกจากนี้ ในคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ยังมีการขับเคลื่อนใน 11 อุตสาหกรรม อาทิ สาขาภาพยนตร์ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทยกว่า 450 เรื่อง โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับอุตสาหกรรม และคุณค่าของแรงงานที่มีทักษะฝีมือสูงของไทย 

เติมทุน ปรับระเบียบหนุน SME

นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมมาตรการสำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ในประเทศที่คิดเป็น 75% ของธุรกิจทั้งหมด โดยการจัดมาตรการซอฟต์โลน แหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำ ให้กลุ่มเหล่านี้ตั้งตัวได้ อีกทั้งจะมีการทบทวนกฎหมาย และกฎระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ล้าหลัง และไม่ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี

ล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยให้พักชำระดอกเบี้ยนาน 3 ปี สำหรับผู้ที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปี รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ในเฟส 2 สำหรับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช้เงินที่ให้นั้นทั้งหมด 

นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศท่ามกลางความกดดันระหว่างสหรัฐ-จีน ว่า ประเทศไทยยืนยันจุดยืนของเรามาโดยตลอดในการเป็นผู้สนับสนุนความสงบ และการค้าเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ว่าการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีแนวคิดทางการค้าที่ต่างออกไป ประเทศไทยก็พร้อมปรับนโยบายและเตรียมมาตรการรองรับ

”นโยบายการค้าระหว่างประเทศกับสหรัฐที่จะเปลี่ยนไป นโยบายของไทยเพียงแค่ต้องปรับ ฉันรู้ว่าหลายคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว“

ความคาดหวังใน 5 ปีข้างหน้า

นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงความคาดหวังใน 5 ปีข้างหน้า ว่า ความมุ่งหวังที่อยากให้เกิดขึ้นคือ การยกระดับด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตรให้คนไทยสามารถสื่อสารภาษาที่ 2 ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงการพัฒนาทักษะสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ที่เตรียมเข้ามาลงทุนในไทย อาทิ ดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์

นอกจากนี้ ยังหวังว่าการเมืองในประเทศจะมีความมั่นคงในระยะยาว เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้าได้ และมองเห็นคนไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

“ฉันหวังว่านโยบายที่รัฐบาลชุดนี้วางไว้จะคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่รัฐบาล เพื่อประโยชน์ของประชาชน เหมือนกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์