สภาพัฒน์จับตา 4 แนวทาง สหรัฐ ยุคทรัมป์กีดกันการค้าเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจ
'สภาพัฒน์' ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเพิ่มหลังทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยที่ 2 เผย 4 แนวทางสหรัฐฯใช้กีดกันทางการค้า มาตรการ 201 แห่ง พ.ร.บ. การค้า 2517 การใช้มาตรการ 301 มาตรา 232 กีดกันทางการค้า และมาตรการ MFN ชี้แนวโน้มการค้าโลกหดตัว
การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพลับรีกัน ที่จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปี 2568 ทำให้เกิดความกังวลว่ามาตรการการกีดกันการค้าของสหรัฐฯจะมีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย เนื่องจากทรัมป์ได้ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นอีก 10% เพื่อปกป้องผู้ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตอกย้ำแนวนโยบายการทำสงครามการค้ากับจีนเหมือนกับที่เคยดำเนินมาในครั้งที่แล้วที่เป็นผู้นำสหรัฐฯ
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยอมรับว่าความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมีมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มของการค้าโลกที่จะหดตัวลงจากนโยบายกีดกันการค้าซึ่งเป็นปัจจัยที่ประเทศซึ่งพึ่งพาการส่งออกอย่างไทยจะต้องเตรียมการรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ภาคเอกชนที่ทำธุรกิจส่งออกต้องเตรียมรับมือผลกระทบด้วยการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
ทั้งนี้สศช.ได้เปิดเผยข้อมูลในรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่สามของปี2567 และแนวโน้ม ปี2567 - 2568 เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯโดยคาดการณ์ว่าจะสามารถดำเนินการได้ผ่าน 4 แนวทางหลัก ประกอบด้วย
1.การดำเนินการผ่านมาตรการ 201 แห่ง พ.ร.บ. การค้า 2517 (Setion 201 of the Tract. 1974) ว่าด้วยการกำหนดการปกป้องภายในประเทศเป็นการชั่วคราว เช่น การเพิ่มภาษีนำเข้า เมื่อมีการนำเข้าสินค้าจ้านวนมากที่เป็นสาเหตสำคัญของความเสียหายร้ายร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ (Safeguard) โดยมีผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (U.S. Internal Trade Commission: ITC) ในหน่วยงานอิสระภายใต้รัฐบาลกลาง
2.การดำเมินการผ่านมาตรการ 301 ว่าด้วยมาตรการจัดการกับการละเมิดข้อตกลงการค้า หรือการกระทำนโยบาย ที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ โดยหน่วยงานผู้รับผิดขอบ คือ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative: USTR)
3.การดำเนินการผ่านมาตรา 232 (Section 232 of the Trade Expansion Act of 1962) ว่าด้วยการจัดการกับการละเมิดข้อตกลงการค้า หรือการกระทำบาย หรือแนวปฏิบัติที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยมีผู้ที่รับผิดชอบคือ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่ง 2 ช่องทางนี้ถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร
และ 4.การออกกฎหมายเพื่อยกเลิกหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored Nation Treatment : MFN) ซึ่งถือเป็นการดำเมินการที่ท้าทายต่อระบบการค้าระทว่างประเทศโดยรวม โดยช่องทางการออกกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัติบัญญัติของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในกรณีทั่วไปคาดว่ากระบวนการในการดำเนินการในการขึ้นภาษีสินนำเข้าสินค้าจากจีน และประเทศอื่นๆ ทั้ง 4 แนวทางจำเป็นต้องใช้ระเวลาในการดำเนินการไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนจะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากข้อมูลผลจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางทางการค้าของสหรัฐฯ ในอดีตภายได้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระหว่างปี 2560-2563 ต่อการค้าระทว่างประเทศของจีนพบว่า จีนมีทิศทางการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งทำให้เห็นดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลงในช่วงดังกล่าว จากที่เคยเกินดุล 4.18 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2561 ลดลงเป็น 3.1 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2563 และ 2.8 แสนล้าน ดอลลาร์ ในปี 2566
สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดนำเข้าของสหรัฐฯในปี 2566 ซึ่งพบว่าเม็กชิโกกลายเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ แทนจีน โดยเม็กซิโกมีการนำเข้าสูงกว่าการนำเข้าจากจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี ทำให้เม็กซิโกมีส่วน 15.4% ต่อการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ ขณะที่จีนมีสัดส่วน 13.9% ต่อการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากสัดส่วน 21.6 ในปี 2560 ในขณะที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนการนำเข้าจากไทยยู่ที่1.8% ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 1.3% ในปี 2560