น้ำมันดิบร่วง 3% สัปดาห์นี้ คาดปีหน้าราคาต่ำกว่าปีนี้
ราคาน้ำมันดิบร่วง 3% ในรอบสัปดาห์ ท่ามกลางความเสี่ยงด้านอุปทานที่ลดลง นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมันลดลงในปีหน้า
รอยเตอร์ส รายงานวันนี้ (30พ.ย.) ว่า ราคาน้ำมันดิบ ตลาดโลก ร่วงลงในวันศุกร์ (29 พ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และแนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ขณะที่กลุ่มโอเปกพลัส OPEC+ คาดว่าจะขยายเวลาลดกำลัง การผลิตออกไปอีก
ในการซื้อขายวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงลง 34 เซ็นต์ หรือ 0.46% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์ต่อ บาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ของสหรัฐ (WTI) ปิดที่ 68 ดอลลาร์ ลดลง 72 เซ็นต์ หรือ 1.05% เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวันพุธ (27 พ.ย.)
กิจกรรมการซื้อขายเงียบเหงาเนื่องจากเป็นวันหยุดของสหรัฐ ตลอดทั้งสัปดาห์ ราคาน้ำมันเบรนท์ ร่วงลงเกือบ 3% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 4.55%
สำนักข่าวทางการของเลบานอนรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า รถถังของอิสราเอล 4 คันได้เข้าไปในหมู่บ้านชายแดนของ เลบานอน ทั้งสองฝ่ายกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันพุธทำให้เบี้ยประกัน ความเสี่ยงของน้ำมันลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุปทาน ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้นในปี 2568 สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศมองว่าอุปทานส่วนเกินอาจอยู่ที่มากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นมากกว่า 1% ของ ปริมาณการผลิตทั่วโลก
ทามาส วาร์กา จากบริษัทนายหน้าค้าน้ำมัน PVM กล่าวว่า “ภาพรวมล่าสุดบ่งชี้ว่าปีหน้ามีแนวโน้มว่าจะย่ำแย่มากกว่า ปัจจุบัน และราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ต่ำกว่าระดับปี 2567"
กลุ่ม OPEC+ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) และพันธมิตร รวมถึงรัสเซีย ได้เลื่อนการประชุมนโยบายครั้งต่อไปจากวันที่ 1 ธันวาคม เป็นวันที่ 5 ธันวาคม โดยคาดว่า OPEC+ จะตัดสินใจขยาย ระยะเวลาการลดการผลิตเพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้