'TDRI' เชื่อ 'แบงก์ชาติ' ไม่เห็นด้วยไอเดีย 'ทักษิณ' ออกบอนด์หนุนใช้บิตคอยน์
“ทีดีอาร์ไอ” ชี้แนวคิด “ทักษิณ” ใช้บิตคอยน์ในพื้นที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ใช้โมเดลแบบประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งอาจไม่ได้ผลในระยะยาว เนื่องจากราคาเหรียญผันผวน ส่วนการออกบอนด์หนุนใช้เงินสกุลดิจิทัลเชื่อแบงก์ชาติไม่เห็นด้วย เพราะทำให้เกิดความสับสนในการใช้เงินในประเทศ
กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยว่านายกรัฐมนตรี อาจจะมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ไปศึกษาเพื่อรับบิตคอยน์ได้หรือไม่ใช้แซนด์บ็อกซ์ เช่น จ.ภูเก็ต ใช้บิตคอยน์เพื่อให้คนถือบิตคอยน์มาใช้เงิน รวมทั้งเหรียญที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งมีบอนด์ของรัฐบาลค้ำประกัน เพื่อทำให้มีเงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า แนวคิดเรื่องการนำบิตคอยน์มาใช้โดยทั่วไปนั้นมีบางประเทศที่เชื่อในบิตคอยน์มากๆ คือ ประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งน่าจะเป็นประเทศแรกที่กำหนดให้เอลซัลวาดอร์สามารถใช้ชำระเงินได้ตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก
โดยแม้ว่ารัฐบาลจะแจกเงินให้เพื่อดึงคนให้หันมาใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล แต่พบว่ามีคนใช้จริงไม่มากนัก และคนที่ใช้ก็แค่ถอนเงินที่ได้ฟรีแล้วก็เลิกใช้ เช่น เดียวกันเนื่องจากราคาบิตคอยน์ในอดีตมันผันผวน และมีช่วงขาลงยาวๆ ช่วงหนึ่งทำให้ร้านค้าเริ่มไม่อยากรับบิตคอยน์เพราะว่าขาดทุน
ทั้งนี้ แนวคิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1.) ให้บิตคอยน์ใช้ซื้อสินค้า และบริการได้ ซึ่งในแง่นี้จะตรงกับกรณีของประเทศเอลซัลวาดอร์คือ ถ้าราคาเหรียญไม่คงที่ แต่ผันผวนมาก หรือมีแนวโน้มไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งก็น่าจะไม่เป็นที่นิยม เช่น ถ้าราคามีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้ซื้อก็ไม่อยากจ่ายด้วยบิตคอยน์เพราะจะเสียโอกาสที่จะถือไว้แล้วกำไร ถ้าราคามีแนวโน้มลดลง ร้านค้าก็ไม่อยากรับ
2.) การออกเหรียญโดยเอาพันธบัตรมาค้ำประกัน อันนี้จำได้ว่าเคยมีประเด็นทางกฎหมาย คล้ายๆ กันกับกรณีการออกเงินดิจิทัล 10,000 บาท คือ มันเป็นการออกสกุลเงินใหม่ มาแข่งขันกับเงินบาท ในแง่นี้ ธนาคารกลางส่วนใหญ่ของโลกคงจะไม่เห็นด้วยครับ เพราะจะมาแข่งขันกับสกุลเงินเดิม การมีหลายสกุลเงินทำให้อาจเกิดปัญหาความเชื่อมั่นกับเงินสกุลท้องถิ่นได้
สำหรับประเด็นที่อดีตนายกฯ ทักษิณ มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่าจะขยายตัวได้ 3.5% และปี 2569 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้กว่า 4% นายนณริฏ กล่าวว่า ปีหน้าแรงส่งทางเศรษฐกิจยังจำกัด มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 2.4-2.8% เท่านั้น
“เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีหน้าจะทำงานได้ดีพอประมาณ คือ ไม่ดีเลิศแต่ช่วยประคองการเติบโตของเศรษฐกิจได้ อธิบายเพิ่มคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม ถ้าจีดีพีโตได้ 3% คือว่าดี และถ้าเกิน 3.6% ถือว่าดีมาก ส่วนปีหน้าถ้าโตราวๆ 2.4-2.8% ถือว่าดีแบบกลางๆ พอประคองตัวเอาตัวรอดได้”
อย่างไรก็ตาม เครื่องจักรที่ช่วยประคองตัวที่เด่น คือ ภาคท่องเที่ยวที่จำนวน และเม็ดเงินน่าจะเติบโตได้ดี การลงทุนภาครัฐที่น่าจะกลับมาหลังจากรัฐบาลใหม่เริ่มตั้งหลักได้แล้ว ตามมาด้วยภาคเอกชนจากการดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาได้มากในช่วงหลัง ส่วนการบริโภคกับภาคส่งออกน่าจะช่วยได้บ้าง แต่ไม่มากจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าสหรัฐ และปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังของจีน
ส่วนในปี 2569 ถือว่ายังคาดเดาได้ยาก แต่ถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหญ่ๆ จนทำให้จีดีพีเติบโตได้ เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ในกรอบไม่เกิน 2.8-3.2%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์