‘แอ็คมี่ วรวัฒน์’ พร้อมให้รัฐบาลกู้บิตคอยน์เป็นกองทุนสำรอง ไม่คิดดอกเบี้ย
‘แอ็คมี่ วรวัฒน์’ พร้อมให้รัฐบาลกู้บิตคอยน์
เพื่อเป็นกองทุนสำรองของประเทศ โดยไม่คิดดอกเบี้ย ขายรับแนวคิด “ทักษิณ” หนุนใช้บิตคอยน์
จากกรณีที่นายวรวัฒน์ นาคแนวดี นักธุรกิจนักลงทุนชื่อดังของไทย ได้ออกมาเสนอให้ใช้บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นกองทุนสำรองของประเทศไทย ในช่วงเดือน พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จนมีการแชร์ออกไปในวงกว้างทั้งสื่อในไทยและสื่อหลักของต่างประเทศ โดยสื่อหลายสำนักระบุว่านายวรวัฒน์เป็นผู้ที่ถือครอง Bitcoin ไม่น้อยกว่า 11,000 BTC และเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็กล่าวบนเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทยถึงการสนับสนุนการใช้ Bitcoin ในประเทศ และอาจจะใช้จังหวัดภูเก็ตเป็นแซนด์บ็อกเพื่อให้คนถือ Bitcoin มาใช้เงินในแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น และยังกล่าวถึงกรณีที่นายโดนัล ทรัมป์ประกาศว่าจะใช้หนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาด้วย Bitcoin รวมถึงเพื่อนของอดีตนายกทักษิณยังเตือนว่า Bitcoin จะมีราคาสูงถึงเหรียญละ 850,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้น
ล่าสุด นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือ Acme Traderist ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptocurrency และ ธุรกิจ Financial Technology (เทคโนโลยีทางด้านการเงิน) และเป็นผู้ทำเหมืองขุด Bitcoin และทำการศึกษา Bitcoin เป็นกลุ่ม แรกมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในช่วง 3 ปีแรกของการกำเนิดขึ้นของ Bitcoin เปิดเผยว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีวิสัยทัศน์เป็นอย่างยิ่งและสอดคล้องกับแนวคิดของผม ที่ต้องการสนับสนุนให้ไทยใช้ Bitcoin เป็นกองทุนสำรองของประเทศ"
"ผมมองว่า Bitcoin นั้นมีศักยภาพสูงมากในการเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก และหากประเทศไทยนำ Bitcoin มาเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรอง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Blockchain ในระดับภูมิภาค"
จากเหตุผลดังกล่าว นายวรวัฒน์ ระบุว่า "ผมจึงมีแผนจะทำการ ปล่อยกู้ Bitcoin ให้แก่ภาครัฐโดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อใช้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ และมีการกำหนดการค้ำประกันค่าความผันผวนทางด้านราคาของ Bitcoin หากราคามีความผันผวนรุนแรงในเชิงลบ โดยผมยังสามารถรวบรวมกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ถือครองสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จากนานาชาติโดยเฉพาะ Bitcoin ที่พร้อมให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายของประเทศไทย"
"ผมถือครอง Bitcoin มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ผมเริ่มทำเหมืองขุด Bitcoin โดยเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในประเทศไทย สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นใน Bitcoin ตลอดมาก็คือเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความโปร่งใสสูงสุด ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ ข้อมูลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมีกระจายศูนย์อำนาจการทำงานแบบไร้ตัวกลางควบคุม ทำให้ Bitcoin เป็นต้นแบบหลักของสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกที่ใช้ระบบ Blockchain ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้มีการขาย Bitcoin ออกไปน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้แจกหรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้กับคนไทยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดและเพื่อการลงทุนบางส่วน ตั้งแต่ก่อนที่ประเทศไทยจะมีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ฉบับปัจจุบัน ซึ่งในความเห็นของผม กฎหมายฉบับนี้ยังต้องได้รับการพัฒนาแก้ไขและปรับปรุงอีกมาก เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ให้การสนับสนุนต่อภาคธุรกิจในแบบที่ยังสามารถควบคุมได้ดี โดยผู้กำกับดูแลบังคับใช้กฎหมายและเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องนี้จะต้องมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแท้จริง" นายวรวัฒน์ ระบุ
“สำหรับผมแล้วยังไม่มีความคิดที่จะขาย Bitcoin ที่ผมถือครองอยู่ดังนั้น ผมจึงต้องการนำ Bitcoin ที่มีอยู่จำนวนหนึ่งมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการปล่อยกู้ให้กับภาครัฐ แบบไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจกับนานาชาติ ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้ และผมมั่นใจว่าการนำ Bitcoin มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรอง จะช่วยให้ประเทศไทยมีความหลากหลายทางการเงินมากขึ้น และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบันที่ระบบการเงินโลกใหม่ได้เข้ามาแทรกแซงการเงินยุคเก่าไปแล้วได้ดียิ่งขึ้น" นายวรวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ แอ็คมี่ นายวรวัฒน์ ถือเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการคริปโทเคอร์เรนซีมาอย่างยาวนาน และยังเป็นนักธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเน้นที่เมืองดูไบเป็นหลัก ทำให้มีโอกาสได้พบบุคคลสำคัญระดับโลกต่าง ๆมากมายรวมถึงได้พบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขณะที่ยังพำนักอยู่ที่เมืองดูไบ จนกระทั่งกลับมายังประเทศไทย ก็ยังคงได้เข้าเยี่ยมเยียนเพื่อแลกเปลี่ยนรับฟังได้วิสัยทัศน์ พร้อมรับฟังคำแนะนำต่าง ๆ จากนายทักษิณมาปรับใช้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและสังคมอย่างสูงสุด โดยปัจจุบัน แอ็คมี่วรวัฒน์ ได้ก่อตั้งสกุลเงินดิจิทัล ACT(ACET) ซึ่งมีอายุกว่า 3 ปี และมีมูลค่าการซื้อขายรวมถึงปัจจุบัน ประมาณ 395,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,825,000,000 บาท โดยมีผู้ถือครองเหรียญ ACT(ACET) มากกว่า 156,000 คนจากทั่วโลก