ราคาทองคำปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อน ก่อนประชุมเฟด

ราคาทองคำปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อน ก่อนประชุมเฟด

ราคาทองคำในตลาดซื้อขายทันทีปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุน จากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่และเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ขณะที่ตลาดต่างรอคอยการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลด อัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามและชี้แนวโน้มในปี 2025

รอยเตอร์สรายงานว่า ในวันจันทร์(16 ธ.ค.) ราคาทองคำในตลาดซื้อขายทันที (Spot Gold) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 2,654.27 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำใน ตลาดล่วงหน้า (Gold Futures) ของสหรัฐปิดตลาดลดลง 0.2% สู่ระดับ 2,670 ดอลลาร์

“ผมคิดว่าความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีส่วนทำให้ทองคำแข็งแกร่งขึ้น” นายนิเตช ชาห์ นักกลยุทธ์ ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทผู้ให้บริการทางการเงิน WisdomTree กล่าว

นอกจากนี้ “จีนได้กลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง ดังนั้นทองคำจึง ตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ เหล่านี้” นายชาห์กล่าว พร้อมเสริม ว่าผู้บริโภครายใหญ่ของจีนน่าจะเพิ่มมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะสนับสนุนทองคำต่อไป ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ อิสราเอลประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่จะ เพิ่มจำนวนประชากรในเขตที่ราบสูงโกลันเป็นสองเท่า โดย อ้างถึงภัยคุกคามจากซีเรีย แม้ว่าผู้นำกบฏที่โค่นล้ม ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะมีท่าที ค่อนข้างเป็นกลางต่ออิสราเอลก็ตาม

ทองคำแท่งถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ปั่นป่วน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำยังทำให้ ทองคำแท่งที่ไม่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจยิ่งขึ้น คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 %ในการประชุม 2 วันซึ่งจะเริ่มในวันอังคาร พร้อมทั้งปรับปรุงแนวโน้มสำหรับ ปี 2025 และปีต่อๆ ไป

โรนา โอคอนเนลล์ นักวิเคราะห์ของบริษัทผู้ให้บริการทางการเงิน StoneX กล่าวว่า “ปัจจัยทางเศรษฐกิจและ การเมืองโดยทั่วไปสนับสนุนตลาดทองคำ แต่เฟดอาจจะหยุดราคาทองคำได้ หากเฟดส่งสัญญาณว่าจะหยุดพักการปรับลด อัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานหลังจากเดือนธันวาคม”

ดัชนีดอลลาร์ร่วงลง 0.1% จากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ที่ทำได้เมื่อวันศุกร์ ทำให้ผู้ถือสกุลเงินอื่นสามารถซื้อ ทองคำแท่งที่มีราคาเป็นดอลลาร์ได้ง่ายขึ้น

ธนาคาร Citi คาดการณ์ว่าความต้องการทองคำและเงินจะ แข็งแกร่งจนกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะคงที่ โดยคาด การณ์ว่าราคาโลหะมีค่าทั้งสองชนิดนี้จะถึงจุดสูงสุดในช่วง ปลายปี 2025 ถึงต้นปี 2026

 การเผยแพร่ข้อมูลสำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลข GDP และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดต่อไป