ส.อ.ท. รับอุตสาหกรรมยานยนต์ปี68 ขาลง จี้รัฐแก้หนี้ครัวเรือน ฟื้นกำลังซื้อ
“ส.อ.ท.” รับอุตสาหกรรมยานยนต์ปี'68 ยังเหนื่อยและยังคงขาลง จี้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หวังกำลังผลิตรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคัน
อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในช่วงถดถอย โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตทั้งปี 2567 หากเทียบกับปีที่แล้วยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ปรับลดเป้าผลิตทั้งปีเหลือ 1.5 ล้านคัน จากเป้าผลิตเดิม 1.9 ล้านคัน
ทั้งนี้ โดยมีสาเหตุมาจากยอดขายในประเทศที่ลดลงจากเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตในอัตราต่ำ และปัญหาสินเชื่อรถถูกตีกลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายลดลงเพราะการซื้อรถ 80% ของคนไทยเป็นการซื้อเงินผ่อน
การผลิตรถยนต์ที่ลดลงส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนในระดับเทียร์ 2 ลงมา ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนกังวลต่อการเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่อาจกระทบผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เพราะจำนวนชิ้นส่วนรถ EV มีน้อยกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยส่วนใหญ่ผลิตเพื่อป้อนให้กับค่ายรถญี่ปุ่น
ดังนั้นสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีปัจจัยเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ได้เสนอให้ภาครัฐเตรียมการรับมือช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงหลายหน่วยงานมีแผนดังกล่าว เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม แต่การดำเนินตามแผนยังไม่สามารถทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่พร้อมเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 ยังคงต้องเหนื่อย และคิดว่าจะยังอยู่ในสภาวะที่ขาลง โดยมี 2 ปัจจัย คือ
1. รัฐบาลต้องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งส่งผลกระทบต่อการที่สถาบันทางการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ ดังนั้น ภาครัฐจะต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจ
2. ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีราคาไม่แพงและรูปโฉมดีไซน์ที่ดีและมีทางเลือกหลายแบรนด์ราคาถูกประหยัด อีกทั้ง ดวยเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมต่างให้ความสำคัญต่อนโยบายลดโลกร้อน จึงนิยมใช้รถ EV และรถสาธารณะ
“อุตสาหกรรมยานยนต์ยังเป็นช่วงปีที่หนัก ซึ่งภาครัฐได้สนับสนุนรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประคับประคองรักษาฐานการผลิตไม่ให้ทรุดเร็วกว่าที่เป็น ล่าสุดนายกฯ ได้หารือกับประธาน Toyota เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาเพื่อสนับสนุนประคองรถไฮบริดไม่ให้ทรุดเร็วและเป็นการรักษาการจ้างงาน”
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การผลิตจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพ.ย. 2567 รวม 117,251 คัน ลดลงจากเดือนพ.ย. 2566 ถึง 28.23% จากการผลิตส่งออกลดลง 20.67% และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง 40.42% และลดลงจากเดือนต.ค. 2567 ที่ 1.34% โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนม.ค. - พ.ย. 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,364,119 คัน ลดลงจากเดือนม.ค. - พ.ย. 2566 กว่า 20.14%
สำหรับผลิตเพื่อส่งออกเดือนพ.ย. 2567 ผลิตได้ 80,022 คัน เท่ากับ 68.25% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพ.ย. 2566 ที่ 20.67% ส่วนเดือนม.ค. - พ.ย. 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 941,938 คัน เท่ากับ 69.05% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกัน 12.25%
ส่วนผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนพ.ย. 2567 ผลิตได้ 37,229 คัน เท่ากับ 31.75% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพ.ย. 2566 ถึง 40.42% และเดือนม.ค. - พ.ย. 2567 ผลิตได้ 422,181 คัน เท่ากับ 30.95% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนม.ค. – พ.ย. 2566 ที่ 33.48
ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพ.ย. 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 42,309 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. 2567 ที่ 12.25% แต่ลดลงจากเดือนพ.ย. 2566 ที่ 31.34% จากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำที่ 3% ในไตรมาส3/2567 แต่หนี้เสียรถยนต์เพิ่มขึ้น 22.8% จากไตรมาสสามปีที่แล้ว หนี้ครัวเรือนสูงถึง 89.6% ของ GDP ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลง ยอดขายบ้านลดลงจากปีที่แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในอัตราต่ำ
ในการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนพ.ย. 2567 ส่งออกได้ 89,646 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.30% แต่ลดลงจากเดือนพ.ย. 2566 ที่ 10% เพราะปีที่แล้วฐานสูงและสงครามอิสราเอลกับฮามาสขยายไปหลายพื้นที่ทำให้จำนวนเที่ยวเรือมารับรถน้อยลงรวมทั้งหลายประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัวลง จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่งออกเพิ่มขึ้นตลาดอเมริกาเหนือแห่งเดียว
“ในปี 2568 หวังว่ามาตรการด้านภาษีของรัฐบาลจะช่วยให้กำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ก็คงไม่มากแบบก้าวกระโดด ซึ่งปี 2567 ส.อ.ท. ได้มีการปรับลดเป้าการผลิตลงถึง 4 แสนคัน จาก 1.9 ล้านคันเหลือ 1.5 ล้านคัน ดังนั้น หากการส่งออกและการบริโภคกลับมาดีขึ้นตาม GDP ที่คาดว่าจะเติบโต จะทำให้กำลังการผลิตจะสามารถเพิ่มขึ้นได้หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้ต่ำกว่าเป้าผลิตปี 2567”