“คลองเตย”โชว์ศักยภาพชิงส่วนแบ่ง “ท่องเที่ยวเรือสำราญ"แสนล้านดอลล์
การท่องเที่ยวโดยเรือสำราญเป็นการเดินทางบนเรือสำราญไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ โดยมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงบนเรือด้วย
การท่องเที่ยวโดยเรือสำราญเป็นการผสมผสานระหว่างการขนส่งและการพักผ่อนหย่อนใจ โดยมอบประสบการณ์รีสอร์ทลอยน้ำให้กับผู้โดยสาร ข้อมูลจากCruise Tourism Global Market Report 2024 เผยแพร่ใน เว็บไซต์ The Business Research Company ระบุว่า ขนาดตลาดการท่องเที่ยวทางเรือเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยจะเติบโตจาก 6.96 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 7.62 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 9.5%
“การเติบโตในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้สามารถอธิบายได้จากรายได้ที่จับต้องได้ที่เพิ่มขึ้นจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นและจุดหมายปลายทางในการล่องเรือที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความสะดวกบริการท่องเที่ยวจากเทคโนโลยีออนไลน์ต่างๆ”
รายงานระบุว่า จากนี้ปีอีก 5 ปี หรือ ปี2029 ขนาดตลาดการท่องเที่ยวทางเรือจะเติบโตเป็น 10.85 พันล้านดอลลาร์ ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 9.2% เป็นผลจากดีมานด์ตลาดที่ต้องการการเดินทางที่หรูหรามากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมการจัดการเพื่อความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ พบว่า นักเดินทางรุ่นใหม่อย่างกลุ่มเจเนอเรชั่นมิลเลนเนี่ยว และ GenZ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากโซเซียลมีเดียให้ออกมาหาประสบการณ์การท่องเที่ยวทางเรือมากขึ้น
“แนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน การขยายตัวของตลาดสินค้าหรูหราและตลาดเฉพาะกลุ่ม นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การปรับปรุงด้านสุขภาพและความปลอดภัย และการเกิดขึ้นของจุดหมายปลายทางใหม่ๆคือคำตอบว่าทำไมการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญจึงเติบโตได้ดี”
สำหรับ จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวรูปแบบนี้คือ อเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในตลาดการท่องเที่ยวเรือสำราญในปี 2024 แต่คาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด ส่วนภาพรวมภูมิภาคพบว่าทุกภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นเอเชียแปซิฟิก ยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ต่างเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดท่องเที่ยวรูปแบบนี้ ขณะที่ประเทศผู้เล่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐ แคนาดา อิตาลี สเปน
มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญเป็นที่นิยมและมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทยช่วงฤดูการท่องเที่ยว หรือ High Season อยู่ในช่วงเดือน พ.ย. ถึงเดือน เม.ย.ของทุกปี จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ ซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ
อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ มีนโยบายในการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศอยู่แล้ว จึงมอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) บริหารจัดการท่าเทียบเรือ 22 A หรือท่าเทียบเรือโอบี ท่าเรือกรุงเทพ หรือ ท่าเรือคลองเตย ให้พร้อมสำหรับรองรับเรือท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วง High Season นี้ เนื่องจากท่าเรือกรุงเทพเป็นท่าเรือใจกลางเมืองแห่งเดียวที่มีท่าเทียบเรือที่สามารถรองรับเรือสำราญขนาดกลางและขนาดใหญ่ได้
โดยนักท่องเที่ยวสามารถเชื่อมโยงการเดินทางทางถนนไปสู่แหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายในกรุงเทพมหานคร อาทิ สถานที่เชิงวัฒนธรรม แหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหารต่างๆ ได้อย่างสะดวก ทั้งนี้เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และถือเป็นโอกาสที่ดีในการช่วยสนับสนุนกระตุ้นการใช้จ่าย อันจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสร้างรายได้ให้แก่ประเทศต่อไป
เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า นอกเหนือจากการมุ่งสู่การเป็นท่าเรือสมรรถนะสูงด้วยการให้บริการด้านการขนส่งโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศแล้วเรายังมุ่งยกระดับให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัยตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ ด้วยการพัฒนาสู่การเป็นท่าเทียบเรือท่องเที่ยว หรือ Cruise Terminal โดยบูรณาการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรในพื้นที่เดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่นักท่องเที่ยวสำหรับช่วง High Season
ทั้งนี้ การท่าเรือฯ ได้มีแผนในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเรือท่องเที่ยวที่เข้ามาเทียบท่า ด้วยการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ ที่พักคอย ห้องน้ำ จุดบริการเรียกรถรับส่ง พร้อมทั้งดูแลรักษาเรื่องความปลอดภัยในการใช้พื้นที่ อีกทั้งยังมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานราชการอื่นๆ อาทิ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
สำหรับช่วงเริ่มต้นศักราชใหม่ ปี 2568 นี้ ถือเป็นช่วง High Season ของประเทศไทย มีเรือท่องเที่ยวแจ้งจองเข้าเทียบท่า ณ ท่าเทียบเรือโอบี จำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือ WS World Odyssey ผู้โดยสารจำนวน 500 คน เรือ INSIGNIA ผู้โดยสารจำนวน 650 คน เรือ MS REGATTA ผู้โดยสารจำนวน 700 คน โดยสัญชาติเรือท่องเที่ยวยอดนิยม 3 ลำดับแรก ได้แก่ สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ประเทศมอลตา และประเทศบาฮามาส ตามลำดับ
"กทท. พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวทางน้ำให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล ร่วมผลักดันประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเรือสำราญระดับภูมิภาค"