กยท. จับมือGIZ ติวกฎ EUDR เร่งขับเคลื่อนยางทั้งระบบ

กยท. จับมือGIZ ติวกฎ EUDR เร่งขับเคลื่อนยางทั้งระบบ

กยท. ร่วม บูรณาการ GIZจัดประชุมเชิงปฏิบัติการEUDRขับเคลื่อนยางพาราไทยทั้งระบบส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรปสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

นายโกศล บุญคง รองผู้ว่าการด้านบริหาร การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)   เปิดเผยภายหลัง การประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หัวข้อ "โอกาส ความท้าทายและแนวทางแก้ไขร่วมมือกันเพื่ออนาคตที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า“ ว่า  ทั่วโลกมีความตระหนักและความกังวล ในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องปรับตัวให้ทัน

กยท. จับมือGIZ ติวกฎ EUDR เร่งขับเคลื่อนยางทั้งระบบ

 ดังนั้นกยท.จึงหารือร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสต่างๆ ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นเวทีที่มีประโยชน์สำหรับภาคเอกชนและภาครัฐในการระบุปัญหาและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากการทำลายป่า

โดยความร่วมมือกับ องค์กรของรัฐบาลเยอรมันที่ดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน(GIZ)  ซึ่งจะสามารถนำไปปรับปรุงโมเดลของอุตสาหกรรมยางพาราและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบในอนาคตได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้อุตสาหกรรมยางพาราของประเทศไทยมีความยั่งยืนต่อไป

“มุมมองของผู้ประกอบการยางพาราต่อEUDRจะเป็นโอกาสในการสร้างความยั่งยืนและมั่นคงในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทาน สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ”

กยท. จับมือGIZ ติวกฎ EUDR เร่งขับเคลื่อนยางทั้งระบบ

ในขณะที่หลายๆ ประเทศ ก็เริ่มให้ความสำคัญและตื่นตัวต่อกฎระเบียบEUDRพร้อมเริ่มมีมาตรการเรื่องการให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เป็นต้น ตลอดจนเป็นโอกาสในการให้ประเทศผู้ผลิต และผู้นำเข้า-ส่งออกของตลาดสหภาพยุโรปตระหนักและให้ความสำคัญในการดำเนินการในการปฏิบัติตามหลักหรือกฎหมายสากล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างฐานข้อมูล (Data)เพื่อสร้างมูลค่าในแนวทางใหม่ๆ

อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายๆข้อกังวลและปัญหาจากผู้ประกอบกิจการยางพารา เช่น กระบวนการการรับผิดหากเกิดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามEUDRซึ่งยังขาดความไม่ชัดเจน,ต้นทุนในการรวบรวมข้อมูลที่เพิ่มขึ้น,ความปลอดภัยของของสารสนเทศ,กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับที่ยังไม่มีรูปธรรม และมาตรฐานในการตีความEUDRของแต่ละประเทศในEUไม่เหมือนกัน ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลที่เป็นเอกภาพและรูปแบบเดียวกัน ตลอดจนความคาดหวังราคาผลผลิต (ราคาพรีเมียม) ของเกษตรกร เป็นต้น

“ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการผลิต จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการการส่งเสริมการไม่ตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงไม่ทำให้ป่าให้เกิดความเสื่อมโทรม ในฐานะ กยท. ที่มีความพยายามในการขับเคลื่อนและบริหารจัดการผลผลิต การตลาด การตรวจสอบย้อนกลับภายใต้EUDRให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดการทั้งระบบของห่วงโซ่อุปทานยางพารา”