‘7 หุ้นนางฟ้า’ ยังไม่พ้นจุดต่ำสุด จับตาทิศทางเฟด - สงครามการค้า

นักวิเคราะห์คาด ‘7 หุ้นนางฟ้า’ ยังไม่พ้นจุดต่ำสุด ถ้าเทียบกับสถิติต่ำสุดในปี 2565 จับตาทิศทางเฟด - ภูมิรัฐศาสตร์ฟื้นตลาดหุ้นสหรัฐคึกคัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่านักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ว่าการลดลงของมูลค่าหุ้นของ “7 หุ้นนางฟ้า” (Magnificent 7) กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะยังคงดำเนินต่อไป หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนอย่างหนักเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
Magnificent 7 ประกอบด้วย Apple, Microsoft, Nvidia, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 30% ของดัชนี S&P 500 ร่วงราว 5.4% และถ้าเทียบกับสถิติสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวพบว่า ราคาหุ้นร่วงลงราว 24.9% ซึ่งหากดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่า 20% ของมูลค่าคือ การส่งสัญาณ “ตลาดหมี” หรือ “ขาลง” ซึ่งมูลค่าตลาดรวมกันลดลงราว 780,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
ยังไม่พ้น ‘จุดต่ำสุด’
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการปรับตัวลดลงในครั้งนี้ยังคงห่างไกลจากจุดต่ำสุดในปี 2561 และ 2565 แต่เหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังเผชิญกับแรงกดดันในสงครามการค้า ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค และภูมิรัฐศาสตร์
วิโอเลตา โทโดโรวา นักวิเคราะห์จาก Leverage Shares ยอมรับมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดือนธ.ค. แต่ยังไม่เชื่อว่านี่คือ “จุดต่ำสุด” เพราะยังมีสัญญาณความไม่แน่นอนอีกมาก ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์จะแย่ลงก่อนที่จะดีขึ้น
การขายหุ้นครั้งใหญ่ในตลาดส่งผลให้ค่า P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่ 26 เท่า ตามการคำนวณของดัชนี Bloomberg จากราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับกำไรที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งตัวเลขนี้ยังสูงกว่าจุดต่ำสุดในอดีตอยู่มาก โดยในช่วงวิกฤติปี 2561 และ 2565 ค่า P/E ของกลุ่มหุ้นเหล่านี้เคยลดลงไปถึงประมาณ 19 เท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้อาจยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกมากก่อนที่จะถึงจุดต่ำสุด
อย่างไรก็ดี โทโดโรวายังมองว่าปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงแข็งแกร่งแม้จะมีการขายทิ้งในช่วงที่ผ่านมา และเชื่อว่าอีกไม่นานนักลงทุนก็จะกลับมาสนใจหุ้นกลุ่มนี้อีกครั้ง
“ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่พื้นฐานของบริษัทเหล่านี้ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ๆ อย่างภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์ระหว่างประเทศอย่าง “ภูมิรัฐศาสตร์” มากกว่า และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแผนการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจจะมีความชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้น เป็นได้ไปว่าหุ้นกลุ่ม Big Tech จะกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง”
นักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์ ‘กำไร’
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดหุ้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alphabet และ Amazon ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นด้วยความคาดหวังว่านโยบายของรัฐบาล “โดนัล ทรัมป์” จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ
แต่ทว่าความคาดหวังเหล่านี้ไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะทรัมป์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แสดงท่าทีชัดเจนว่าพวกเขาไม่กังวลกับการลดลงของตลาดหุ้นและความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยพวกเขามุ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสหรัฐอย่างจริงจังในระยะยาวมากกว่า ด้วยการเดินหน้า “สงครามการค้า”
เมื่อตลาดหุ้นเริ่มไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงมากขึ้น นักลงทุนก็เลยตัดสินใจที่จะ “ขาย” หุ้นที่เคยทำกำไรมาตลอด โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อย่างหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาเยอะมากตั้งแต่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาดีขึ้นในเดือนต.ค.2565
นอกจากนี้ แม้ว่าบริษัทกลุ่ม Magnificent Seven จะทำรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ได้ดีกว่าที่คาดไว้ แต่พวกนักวิเคราะห์วอลล์สตรีทก็ยัง “ปรับลด” การคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทเหล่านี้ในปี 2568 ลง โดยนักวิเคราะห์ที่ Bloomberg Intelligence รวบรวมคาดการณ์ว่ากลุ่มนี้จะมีกำไรเติบโต 22% ลดลงจากที่คาดไว้ในช่วงกลางเดือนม.ค.ที่ระดับ 24% ขณะเดียวกันก็ได้คาดว่ากำไรของ S&P 500 ทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 10% เมื่อปีที่แล้ว
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์