เข้าใจคอร์รัปชันที่ประเทศมีก่อนจะล่มสลาย

สัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนเสนอข่าวการจัดอันดับดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (CPI) ปี 2024 จัดทําโดยองค์กรความโปร่งใสระหว่างประเทศหรือ TI (Transparency International)
ที่อันดับประเทศไทยแย่ลงอีกและแย่ลงมากสุดในรอบ 12 ปี ซึ่งไม่มีใครแปลกใจ แต่เรื่องนี้ประเทศเราไม่พูดกัน
วันนี้จึงอยากให้ความเห็นว่าทําไมคอร์รัปชันประเทศเราจึงรุนแรง แย่ลงต่อเนื่องและไม่มีการแก้ไข เป็นข้อเท็จจริงที่คนไทยต้องพูดกันเพื่อให้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาที่ประเทศมี ก่อนที่ทุกอย่างสําหรับประเทศไทยจะสายเกินไป นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ปีนี้คะเเนน CPI ประเทศไทยลดลงเหลือ 34 จากคะเเนนเต็ม 100 ตํ่าสุดในรอบ 12 ปี ส่วนอันดับประเทศอยู่ที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก อยู่อันดับเดียวกับประเทศเนปาล มาลาวี (Malawi) และ ไนเจอ (Niger) ในแอฟริกา
ปีนี้หลายประเทศในเอเชียที่เคยมีปัญหาและอันดับคอร์รัปชันแย่กว่าเรา เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ล้วนดีขึ้นและมีคะเเนนดีกว่าไทยมาก
ที่เด่นมากคือเวียดนาม ที่อันดับปีนี้อยู่ที่ 88 คะแนนเพิ่มเป็น 40 แม้เป็นประเทศสังคมนิยมแต่ก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าการดําเนินคดีกับนักธุรกิจผู้มีอิทธิพลที่ทุจริต หรือปฏิรูประบบราชการโดยจะลดข้าราชการกว่าหนึ่งแสนคน
ทั้งหมดต่างกับประเทศไทยที่ไม่มีข่าวดีเรื่องการปราบคอร์รัปชัน มีแต่ข่าวร้ายเรื่องธรรมาภิบาลทั้งในภาคธุรกิจและระบบราชการ
สะท้อนสิ่งที่ทาง TI ได้ให้ความเห็นไว้เมื่อปีที่แล้วว่า คอร์รัปชันที่แย่ลงมาจากการไม่ทําหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่แก้ปัญหาโดยเฉพาะนักการเมือง ซึ่งของเราก็เป็นปัญหาต่อเนื่องมาอย่างน้อย 12 ปี คำถามคือเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยที่ทําให้คอร์รัปชันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีการแก้ไข
เรื่องนี้ สิ่งที่ต้องเข้าใจคือคอร์รัปชันที่ TI พูดถึงคือคอร์รัปชันในภาครัฐที่เกี่ยวกับการหาประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศและการใช้อํานาจรัฐในทางที่ผิด ซึ่งกรณีประเทศเรา ลักษณะเด่นคือ
1.คอร์รัปชันในประเทศเราไม่ใช่การทําผิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ ที่มาจากพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งในสังคม ที่กระจายอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง และระบบราชการของประเทศในทุกระดับ คนเหล่านี้คือนักการเมืองที่โกง นักธุรกิจที่โกง และข้าราชการที่โกง
2.นักการเมืองที่โกงเพราะต้องการอํานาจ ต้องการตำแหน่ง ต้องการชนะเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เงินเพราะการเมืองไทยในทุกระดับคือ money politics หรือการเมืองที่ใช้เงินซื้อ จึงต้องโกงทั้งเพื่อตัวเองและทําให้คนอื่นเพื่อแลกผลประโยชน์
ส่วนนักธุรกิจที่โกงเพราะต้องการความรํ่ารวยแบบไม่เหนื่อย ไม่ชอบการแข่งขัน ชอบการผูกขาดหรือมีสิทธิ์หรือข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น จึงอาศัยนักการเมืองที่โกงช่วยเหลือ ช่วยออกกฎหมายออกนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจตน รวมทั้งปกป้องธุรกิจและสิทธิประโยชน์ที่ได้มา
นักธุรกิจที่ทําได้และโกงได้แบบนี้จะมีพลังทางเศรษฐกิจสูง สําหรับข้าราชการที่โกงคือใช้อํานาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการในทางที่ผิด คือทุจริต และช่วยเหลือนักการเมืองและนักธุรกิจที่โกงในการโกงบ้านเมืองและร่วมหาประโยชน์เพื่อให้ตนเองรํ่ารวย ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่สนใจความถูกต้องและความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประเทศ
3.ปัจจัยที่ทําให้คนสามกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันได้และร่วมมือกันคือ “ระบบอุปถัมภ์” ระบบอุปถัมภ์เป็นลักษณะสําคัญของสังคมไทยที่มีมาช้านานที่ผู้ใหญ่จะช่วยเหลือผู้น้อย แต่ได้ถูกนํามาใช้อย่างผิดๆ
นักการเมืองที่โกงใช้ระบบอุปถัมภ์เพื่อให้ชนะเลือกตั้งเพื่อรักษาอํานาจทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ นักธุรกิจที่โกงใช้ระบบอุปถัมภ์ร่วมกับนักการเมืองที่โกงเพื่อรักษาอํานาจทางเศรษฐกิจและความได้เปรียบทางธุรกิจให้มีอยู่ต่อไป
ส่วนข้าราชการที่โกงใช้ระบบอุปถัมภ์สร้างเครือข่ายที่จะทําให้การโกงมีอยู่ต่อไป และร่วมกับอีกสองกลุ่มใช้ระบบอุปถัมภ์ช่วยเหลือกันเมื่อถูกจับได้
4.เพื่อให้ระบบคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอยู่ได้ต่อไป ทั้งสามกลุ่มจึงมุ่งควบคุมกลไกและสถาบันที่ทําหน้าที่ตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน รวมไปถึงกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยการแทรกแซงให้กลไกเหล่านี้อ่อนแอทั้งในระดับสถาบันและตัวบุคคล ไม่ให้เป็นพิษเป็นภัย หรือดึงให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์ รวมถึงฟ้องร้องผู้ที่จะส่งเสียงเปิดโปงด้วยกระบวนการทางศาล
สิ่งเหล่านี้ทําให้การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันโดยองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งประเทศเรามีค่อนข้างครบถ้วนดูขาดประสิทธิภาพ ไม่มีผลงาน
ขณะเดียวกันก็ใช้อํานาจทางเศรษฐกิจควบคุมการเสนอข่าวเรื่องคอร์รัปชัน การทําผิดกฎหมาย ผิดธรรมาภิบาล รวมถึงพยายามชักนําสังคมให้เข้าใจว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปรกติ ผลคือในสายตาต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีความอดทนสูงมากต่อการทุจริตคอร์รัปชัน
เมื่อคอร์รัปชันในประเทศเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ และคนที่ได้ประโยชน์มีอํานาจทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ การแก้ไขจึงยาก
แต่ถ้าไม่แก้ ปัญหาก็จะยิ่งรุนแรงและเป็นความเสี่ยงที่อาจทําให้ประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวในที่สุด เมื่อคอร์รัปชันมีอิทธิพลเหนือระบบราชการ เหนือระบบยุติธรรม เหนือความถูกต้อง ปัญหาและความยากลําบากกระจายไปทั่ว ประชาชนไม่ไว้ใจรัฐบาล ต่อต้านจนปกครองไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง
เรื่องนี้การศึกษาตัวอย่างในต่างประเทศพบว่า ในประเทศที่การทุจริตคอร์รัปชันเป็นระบบและรุนแรง การแก้ไขปัญหายังทําได้แต่จะเกิดจากสองเงื่อนไข
1.มีผู้นําคนใหม่ที่ไม่ใช่คนในสามกลุ่มนี้ กล้าทํา กล้าตัดสินใจ นําประเทศไปสู่การแก้ปัญหาที่ไม่เคยมีมาก่อน
ล่าสุดเช่นประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ประธานาธิบดีบูเคเร่ ตัดวงจรการทุจริตคอร์รัปชันและความโหดร้ายของแกงค์อาชญากรรมโดยจับกุมเครือข่ายแกงค์กว่าแสนคนแบบไม่ไว้หน้า ทําให้อัตราการตายในประเทศที่เคยสูงมากลดลงอย่างทันตาเห็น ลดการทุจริตและนําความปลอดภัยคืนให้กับพลเมืองเอลซัลวาดอร์
2.ประชาชนหมดความอดทนต่อการทุจริตคอร์รัปชันและความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น นําไปสู่การประท้วงและการเปลี่ยนรัฐบาล ตัวอย่างล่าสุดคือประเทศศรีลังกาปี 2022 ที่นําไปสู่จุดจบของตระกูลราชปัฏษาและเครือข่ายที่ครองอํานาจในศรีลังกานานกว่า 15 ปี
นี่คือฉากจบของประเทศที่คอร์รัปชันรุนแรง มีทั้งที่วุ่นวายและไม่วุ่นวาย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงควรเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงฉากจบและความวุ่นวาย แต่ที่ไม่มีใครตอบได้คือ คนโกงทั้งสามกลุ่ม แม้ร่ำรวย มีการศึกษา และรู้ดีว่าจุดจบของคอร์รัปชันจะเป็นอย่างไร แต่ทําไมยังไม่หยุด.
เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
bandid.n@ppgg.foundation