เกษตรฯเตรียมเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบปัญหาปลาหมอคางดำ

อัครา แจง แผนแก้วิกฤตปลาหมอคางดำ 19 จว. ตั้งกก.วางกรอบช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ มั่นใจสถานการณ์ดีขึ้น ระดับชุกชุมน้อย-ปานกลาง ทุ่ม 98 ล้าน ให้กรมประมง ลุยต่อ
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าในฐานะที่กำกับดูแลกรมประมงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การระบาดและการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำอย่างใกล้ชิด โดยได้มอบนโยบายให้กรมประมงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ได้กำหนดให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ และแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ 15 กิจกรรม กรอบวงเงินงบประมาณ 450 ล้าน ดังนี้
1.การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด โดยสามารถกำจัดปลาหมอคางดำ 3,702,038 กิโลกรัม (บ่อเลี้ยง 2,321,964.50 กก. แหล่งน้ำธรรมชาติ 1,380,073.50 กก.) ผ่านโครงการต่าง ๆ
2. การกำจัดปลาหมอคางดำ ในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง ได้ดำเนินการปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าทั้งสิ้น 743,136 ตัว ได้แก่ ปลากะพงขาว 335,136 ตัว ปลาอีกง 310,000 ตัว ปลาช่อน 58,000 ตัว ปลากราย 20,000 ตัว ปลากดเหลือง 20,000 ตัว
3. การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ได้บูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนนำไปผลิตปลาป่น ผลิตน้ำหมักชีวภาพ ปลาร้า นำไปบริโภคแปรรูป ทำปลาแดดเดียว ปลาหวาน กะปิ น้ำปลา และนำส่งโรงงานลูกชิ้น รวมถึงใช้เป็นปลาเหยื่อ รวมกว่า 3,702,038 กิโลกรัม
4. การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชน ได้ดำเนินการจัดทำระบบแจ้งตำแหน่งการพบปลาหมอคางดำ สำหรับประชาชน และได้จัดตั้งชุดสำรวจและเฝ้าระวังลงพื้นที่สำรวจข้อมูลความชุกชุมในพื้นที่เดือนละ 2 ครั้ง
5. สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ ได้จัดทำการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับปลาหมอคางดำผ่านช่องทางสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม ตลอดจนออกประกาศ ระเบียบ และกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จำนวน 10 ฉบับ
6.การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มีการจัดทำโครงการ การเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n เพื่อให้เกิดหมันในปลาหมอคางดำ และกรมประมงยังได้จัดทำข้อเสนอโครงการวิจัย จำนวน 19 เรื่อง เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สวก. และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
7. การฟื้นฟูระบบนิเวศ ได้มีการวางแผนผลิตพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ มุ่งเน้นการฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศให้กับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนั้น มีข้อมูลจากหลายแหล่ง ซึ่งไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม ดังนั้นขอชี้แจงข้อเท็จจริงจากข้อมูลการสำรวจของกรมประมง ในเดือนกรกฎาคม 2567 พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำใน 19 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ นนทบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา
แบ่งเป็นที่พบความชุกชุมระดับชุกชุมมาก (มากกว่า 100 ตัว/100 ตารางเมตร) 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ และประจวบคีรีขันธ์ ความชุกชุมระดับปานกลาง (11-100 ตัว/100 ตารางเมตร) 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และความชุกชุมระดับน้อย (1-10 ตัว/100 ตารางเมตร) 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี และสงขลา และไม่พบปลาหมอคางดำ 3 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี ชลบุรี และพัทลุงแต่ปัจจุบันไม่พบประชากรปลาหมอคางดำในระดับชุกชุมมาก
ส่วนความชุกชุมระดับปานกลาง พบ 5 จังหวัด ได้แก่ ระยอง สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช และความชุกชุมระดับน้อย 11 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประชากรปลาหมอคางดำมีแนวโน้มลดลงจากการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง (มีการสุ่มตรวจทุกเดือน)
สำหรับสถานการณ์การเพาะเลี้ยงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ พบว่าพื้นที่เพาะเลี้ยงที่มีการแพร่ระบาดมาก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติและแบบกึ่งพัฒนา ซึ่งกรมประมงได้ตรวจสอบ ควบคุมและกำจัดอย่างต่อเนื่องต่อไป รวมถึงได้ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น รวมถึงส่งเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่เข้าไปเสนอแนะแนวทางการจัดการบ่อเลี้ยง เพื่อป้องกันการหลุดรอดของปลาหมอคางดำ เข้าไปในบ่อเลี้ยงให้กับเกษตรกรแล้ว
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากความเดือดร้อนของเกษตรกร ชาวประมง ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตลอดจนประชาชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิได้นิ่งนอนใจ เร่งหาทางออกในการช่วยเหลือเยียวยา โดยประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากรอบหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568
โดยคณะทำงานประกอบด้วย รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธาน มีผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านต่าง ๆ ของกรมประมง และประมงจังหวัดในเขตพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำร่วมเป็นคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมประมงดำเนินการนำข้อมูลวิชาการความชุกชุมของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประกอบการประเมินและจัดทำเกณฑ์การพิจารณาความเสียหายของผู้ได้รับผลกระทบ
สำหรับใช้ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ปลาหมอคางดำ) ของจังหวัด เพื่อให้เป็นไปตามข้อ 1 (4) ของประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) พิจารณาใช้ประกอบการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นกรมประมงจะเสนอ ขอความเห็นชอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และกรมบัญชีกลาง พร้อมทั้งแจ้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจังหวัดต่อไป
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ตามวาระแห่งชาติของกรมประมงนั้น ได้บูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วม และดำเนินการอยู่ตลอดในทุกมิติทั้งการป้องกัน กำจัด นำไปใช้ประโยชน์ เยียวยาผลกระทบ ตลอดจนฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติต่าง ๆ ที่กรมประมงเก็บรวบรวมอยู่ตลอดนั้น บ่งชี้ได้ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเริ่มอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น
ดังนั้น กรมประมงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตาม 7 มาตรการสำคัญต่อไป ซึ่งขณะนี้ กรมประมงได้ดำเนินการขอใช้งบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท จากสำนักงบประมาณ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน 450 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติแล้ว และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหา จึงได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ 98,457,100 บาท ให้กรมประมงอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้จ่าย ดังนี้
1. การรับซื้อปลาหมอคางดำ ที่ถูกกำจัดออกจากแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาดทั้งธรรมชาติและบ่อเลี้ยง จำนวน 3 ล้านกิโลกรัม ในราคา 20 บาท/กิโลกรัม เป็นเงิน 60 ล้านบาท เพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ และแปรรูปในรูปแบบต่าง ๆ 2. สนับสนุนกากชาเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่เพาะเลี้ยง 35,000 กิโลกรัม เป็นเงิน 10.5 ล้านบาท
3. สนับสนุนปลานักล่า เช่น ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย ฯลฯ เพื่อปล่อยลงในบ่อเลี้ยงที่กำจัดปลาหมอคางดำแล้ว จำนวน 300,000 ตัว เป็นเงิน 3 ล้านบาท 4. การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกไปใช้ประโยชน์ ผลิตน้ำหมักชีวภาพ จำนวน 3.2 ล้านลิตร และแปรรูปในรูปแบบต่าง ๆ เป็นเงิน 22 ล้านบาท และ5. สนับสนุนเครื่องมือ ทำการประมงเพื่อจับปลาหมอคางดำให้แก่เกษตรกรและชาวประมง พร้อมค่าดำเนินงานต่าง ๆ ประมาณ 3 ล้านบาท
ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าจะสามารถควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำได้ในกรอบเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ กรมประมงจะเร่งดำเนินการในการรับซื้อปลาหมอคางดำ โดยขณะนี้ได้กำหนดจุดรับซื้อไว้แล้วในเบื้องต้น 86 จุด และเตรียมประกาศรับสมัครจุดรับซื้อเพิ่มเติมต่อไป ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ได้ในกรอบเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นจะเร่งดำเนินการฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศต่อไป
สำหรับ การแพร่ระบาดในขณะนี้เหลือเพียง 16 จังหวัดจากเดิม 19 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุงเป็นพื้นที่ไม่พบปลาชนิดนี้ ด้วยพัทลุงเป็นพื้นที่มีความสำคัญทำหน้าที่เป็นพื้นที่กันชนให้กับทะเลสาบสงขลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ชุมชน และเกษตรกร ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยได้ดำเนินการตาม 7 มาตรการสำคัญอย่างต่อเนื่อง
จนถึงวันนี้ กรมประมงสามารถจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำได้ถึง 35,000 ตัน ส่งผลให้หลายพื้นที่มีการลดลงของประชากรปลาหมอคางดำ และไม่หยุดหาแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการปลาชนิดนี้ เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ นำความหลากหลายทางชีวภาพกลับมาให้กับแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึง พลิกวิกฤต สร้างโอกาสสร้างเงินให้เกษตรกรและชุมชน
ขณะเดียวกัน กรมประมงยังเร่งดำเนินการ “โครงการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ในปลาหมอคางดำ” เพื่อให้ปลา 4n ลงไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำ 2n ออกลูกเป็นปลา 3n ที่เป็นหมัน ซึ่งช่วยควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาทดลองที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี เพื่อยืนยันว่า ปลา 4n ได้ผล สามารถผสมพันธุ์กับปลา 2n แล้วเป็นปลา 3n เพราะปลา 3n เป็นปลาที่มีความผิดปกติทางโครโมโซม หรือเป็นหมัน หากผลการศึกษาเป็นไปตามที่กรมประมงตั้งเป้าหมายที่จะขยายจำนวนปลาหมอคางดำ 4n ให้มากขึ้นเมื่อการทดลองสำเร็จ เพื่อเป็น “อาวุธสำคัญ” ที่กรมประมงใช้ควบคุมประชากรปลาหมอคางดำและสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศของไทย
นอกจาก ปลา 4n การจัดการปลาหมอคางดำที่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากปลาหมอคางดำเป็นปลาที่ทานได้ และจากการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ อาทิ กองทัพบก กองทัพเรือ และกรมราชทัณฑ์ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและเกษตรกร ซึ่งได้ดัดแปลงวิธีการจัดการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้สามารถควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการที่น่าสนใจ ได้แก่ การส่งเสริมการบริโภคปลา ด้วยคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์ นำปลาหมอคางดำมารังสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่หลากหลาย ทั้งอาหารคาว ขนมทานเล่น ของหวาน และเครื่องดื่ม เช่น ข้าวเกรียบ น้ำยาขนมจีน ไส้อั่ว น้ำพริก ปลาร้า ปลาส้ม เมื่อปีที่ผ่านมา มีการประกวดค้นหาสุดยอดเมนูปลาหมอคางดำที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้ทุกคนเห็นว่าปลาหมอคางดำสามารถรับประทานได้ ทำได้หลายเมนู และบางสินค้ากลายเป็นเมนูเอกลักษณ์ของจังหวัดได้อีกด้วย
อย่างกรมประมง ร่วมมือ กรมราชทัณฑ์ ริเริ่มโครงการแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นสินค้าอาหาร เริ่มจากการนำปลาหมอคางดำที่จับได้ใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารเลี้ยงเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง นำปลาหมอคางดำมาสับเป็นเหยื่อเลี้ยงปู เลี้ยงปลา ตลอดจน ร่วมมือกับเกษตรกรผู้คิดค้นสูตรน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา ชาววัง มาช่วยถ่ายทอดทักษะในการผลิตน้ำปลาหมอคางดำให้กับผู้ต้องขัง ซึ่งคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์น้ำปลาแบรนด์ต่างๆ ออกสู่ตลาด อย่าง “หับเผยแม่กลอง” ของเรือนจำสมุทรสงคราม “หับเผยเขากลิ้ง” ของเรือนจำเพชรบุรี และ “หับเผยสมุทรสาคร” เพราะน้ำปลาเป็นเครื่องปรุงที่สำคัญในแต่ละครัวเรือน
อีกหนึ่งวิธีที่สามารถขจัดปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำได้เร็ว และสามารถจับปลาได้ครั้งละมากๆ คือ การจับขึ้นมาทำปลาป่น โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและโรงงานปลาป่น รับซื้อปลาหมอคางดำมาผลิตเป็นปลาป่นใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ วิธีการหมักเป็นน้ำหมักชีวภาพให้เกษตรกร ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยเกษตรกรยังสามารถใช้ปลาหมอคางดำเป็นเหยื่อในการเลี้ยงปูและปลากะพง ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร นอกจากพืชแล้ว โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ยังนำปลาหมอคางดำหมักเป็นจุลินทรีย์หมักปลาหมอคางดำนำไปใช้คลุกผสมอาหารให้กุ้งกิน มีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอติกช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับสัตว์น้ำ ช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรได้อีกด้วย