ส.อ.ท. จี้รัฐป้องเหล็กจีนทุ่มตลาด ชู 'เมดอินไทยแลนด์' เพิ่มทุนโครงการรัฐ

ส.อ.ท. จี้รัฐป้องเหล็กจีนทุ่มตลาด ชู 'เมดอินไทยแลนด์' เพิ่มทุนโครงการรัฐ

"ส.อ.ท." ชี้เหล็กไทยเจอหนักภายใต้นโยบายขึ้นภาษีสหรัฐ กำลังการผลิตจีนยังล้น แนะรัฐเพิ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ใช้วัสดุในไทย หนุนนโยบาย "เมดอินไทยแลนด์"

กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และ โพสต์ทูเดย์ จัดงานเสวนา Roundtable “Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสวนาหัวข้อ "The Great Trade War : กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก" ว่า ปัจจุบันทั้งโลกมีความต้องการเหล็กปีละ 1,800 ล้านตัน จีนต้องการใช้ 900 ล้านตัน แต่มีกำลังการผลิต 1,100 ล้านตัน ที่เหลืออีก 200 ล้านตัน ต้องผลักดันส่งออก ส่วนสหรัฐมีความต้องการที่ 100 ล้านตัน โดยนำเข้า 25 ล้านตัน ผลิตเอง 3 ใน 4 มีอัตราการใช้กำลังการผลิต 75%

ส่วนความต้องการเหล็กในประเทศไทยที่ 16 ล้านตัน ผลิตเองแค่ 7 ล้านตัน ที่เหลือนำเข้า ถือว่ามีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำสุด โดยปีที่แล้วกำลังการผลิตที่ 28% หากย้อนกลับไปที่จีน ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการ 3 ไตรมาสแรก 75% ของผู้ประกอบการขาดทุน จากกำลังการผลิตส่วนเกินล้นตลาด ทำให้ต้องส่งออกเหล็กในราคาต่ำ  

"อุตสาหกรรมเหล็กไทยหนักสุด ส่วนสหรัฐมีกำไร ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้น จะเห็นว่ามาตรา 232 ในสมัย ทรัมป์ 1.0 ในปี 2018 ได้ให้อำนาจประธานาธิบดี โดยสามารถเก็บภาษีหรือกำหนดโควตาได้ ทำให้ไทยโดนเก็บภาษีเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% จากความให้ความสำคัญปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กสหรัฐยังมีกำไรมาถึงปัจจุบัน"

ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อมาสู่ทรัมป์ 2.0 อุตสาหกรรมเหล็กโดนเก็บภาษี 25% มาต่อเนื่อง ส่วนอะลูมิเนียมปรับ 25% ซึ่งส่วนตัวมองว่าสภาพการณ์นี้ยังพอให้ธุรกิจเหล็กสหรัฐพอไปได้ สหรัฐมีการนำเข้า 1 ใน 4 จากประเทศใกล้ๆ ที่เป็นพันธมิตร ครึ่งหนึ่งมาจาก 3 ประเทศ คือ แคนาดา บราซิล และเม็กซิโก สำหรับจีนส่งไปสหรัฐน้อย โดยปีที่แล้ว 5 แสนตัน ส่วนไทยส่งไปไม่เกิน 2 แสนตัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่อเหล็กไทยจึงไม่เยอะ ซึ่งที่ผ่านมา 1 เดือนยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชัดเจน 

"ในทางกลับกันเหล็กไทยยังมีโอกาสส่งไปสหรัฐได้ แต่ก็ไม่มากนัก เราอาจมองหาโอกาสตรงนี้ เช่น ท่อเหล็ก และเหล็กเคลือบ ในขณะเดียวกันผลทางอ้อมตลาดอาเซียนเป็นกลุ่มตลาดเป้าหมายเพื่อระบายสินค้า ทุกประเทศจะตั้งการ์ดอุตสาหกรรมเหล็กที่มาจากการที่มีกำลังผลิตที่เกิน 

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เบื้องต้นในเรื่องของการเจรจา ซึ่งเอกชนผู้ประกอบการพยายามหาโอกาสที่จะเพิ่มการส่งออกได้บ้างหรือไม่ ทั้งท่อ และเหล็กเคลือบ แม้ค่าขนส่งจะแพงแต่ก็พอส่งไปได้ อาจจะเสมอตัวบ้างหรือกำไรเล็กน้อยเพื่อแลกกับการใช้กำลังการผลิต และต้องขอบคุณภาครัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลในมาตรการ การป้องกันการทุ่มตลาด เพราะสินค้าเหล็กสามารถดัดแปลงเพื่อเลี่ยงการสำแดงได้ง่าย

นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐลงทุนเพิ่มเติมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทยมีการลงทุนเขื่อน ระบบชลประทานเพิ่มเติม เพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงระบบชลประทาน ซึ่งปัจจุบันทราบข้อมูลว่าเข้าถึงได้แค่ 17% ถ้าลงทุนตรงนี้เพิ่มเติมการใช้วัตถุดิบในประเทศในโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความเข้มแข็งเกษตรกรไทย สามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน กระตุ้นการบริโภค เกิดการจ้างงาน ระบบหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น

และอีกข้อที่อยากเสนอคือ การใช้วัสดุในประเทศ "เมดอินไทยแลนด์" เป็น 50% และขยายไปสู่โครงการ PPP ที่ปัจจุบันมูลค่ารวมโครงการสูงใกล้ระดับ 1 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มการผลิตเหล็กในประเทศ และข้อสุดท้ายในการส่งเสริมการลงทุนอยากขอให้พิจารณาให้ดี อุตสาหกรรมเหล็กที่ล้นตลาดอยู่แล้ว อาจจะมีการย้ายฐานการผลิต จึงอยากให้มาต่อยอดไม่ใช่แบ่งเค้กก้อนเล็กอยู่แล้วให้เล็กลงไปอีก  

"เมื่อเกิดสงครามการค้าหรือการปกป้องมากขึ้น การป้องกันการทุ่มตลาดที่อยากเห็นการเริ่มการไต่สวนจากภาครัฐได้เลยหากพบไม่เป็นธรรม ซึ่งอยากให้รัฐบาลดำเนินการรวดเร็วเมื่อเกิดความไม่เป็นธรรมทางการค้า รวมถึงการส่งเสริมด้านการลงทุนในประเทศไทยโดยกระตุ้นใช้การพึ่งพาวัสดุที่ผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทั้งภาคการเกษตร และอุตสาหกรรม"

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์