4 อุตสาหกรรมอ่วมสหรัฐขึ้นภาษี จี้รัฐเร่งเจรจาหวั่นกระทบ 'แรงงาน'

4 กลุ่มอุตสาหกรรม โอดนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐถึง 36% แนะรัฐบาลเร่งเจรจา "ทรัมป์" หวั่นกระทบภาค "แรงงาน"
KEY
POINTS
- ส่งออกยานยนต์ไปสหรัฐ 3% มูลค่า 32
“กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ จัดงาน Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy ผ่ากำแพงภาษี “ทรัมป์” ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ: Out of The Trump's Uncertainty
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประกอบด้วยกลุ่ม "ยานยนต์-เหล็ก-พลังงาน-อาหาร" ร่วมเสวนาหัวข้อ “The Great Trade War : กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก" เพื่อแลกเปลี่ยนถึงผลกระทบจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐจากนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งประเทศไทยโดนปรับขึ้นภาษีถึง 36%
“กลุ่มยานยนต์” ปรับเป้าผลิตลดส่งออกสหรัฐ ตามนโยบายย้ายฐานผลิตบริษัทแม่ แปลกใจสหรัฐขึ้นภาษีเป็นแบรนด์ของอเมริกาเอง “กลุ่มเหล็ก” ชี้กำลังผลิตจีนล้นตลาด แนะภาครัฐเพิ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดันใช้ “เมดอินไทยแลนด์” ขณะที่ “กลุ่มพลังงาน” หนุนไทยนำเข้า LNG ลดตัวเลขเกินดุลการค้าสหรัฐ ดันไทยเป็นฮับส่งออก LNG ภูมิภาคแทนสิงคโปร์ “กลุ่มอาหาร” จี้รัฐเจรจาให้เร็ว หวั่นกระทบทั้งแรงงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี-สตาร์ตอัป
กลุ่มยานยนต์ปรับแผนหาตลาดใหม่
นายวิทวัฒน์ ทองเวส เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขส่งออกไปสหรัฐไม่มากที่ 3% มูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ รถที่ส่ง 32,000 คัน เทียบทั้งหมดที่ส่งออก 1 ล้านคันในปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ปรับแผนการผลิต และไม่ส่งออกไปสหรัฐ โดยมีการย้ายฐานการผลิตไปตามนโยบายบริษัทแม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการขึ้นภาษีของสหรัฐ
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ถูกประกาศขึ้นภาษีไปแล้ว 25% ซึ่งหากดูจำนวนรถที่ส่งออกประมาณ 32,000 คัน ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งประมาณ 3% ของยอดส่งออกทั้งหมด เดิมรถยนต์นั่ง 2.5% เพิ่มเป็น 27.5% และรถกระบะเดิม 25% เพิ่มเป็น 50% แต่ปัจจุบันไม่มีส่งออกไปแล้ว
ส่วนรถจักรยานยนต์สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 23% ของยอดส่งออกทั้งหมดจากไทย และมีแบรนด์สหรัฐเองรวมอยู่ด้วย ซึ่งการที่ทรัมป์บอกว่าขาดดุลการค้าส่วนนี้จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่จะให้ย้ายบริษัทผู้ผลิตต้องย้ายกลับไปประเทศตัวเอง ซึ่งรถจักรยานยนต์จะเพิ่มจากเดิม 2.4% เป็น 38.4%
จี้รัฐเร่งเจรจาเหตุกระทบ 2 ปีแล้ว
"อีกส่วนที่กระทบคือ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์มูลค่าการส่งออกที่ 1,500 ล้านดอลลาร์ ไม่รวมยางที่มีมูลค่า 3,500 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้สหรัฐจะเก็บภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ 36% จึงถือเป็นการเหมารวมทั้งหมด จึงต้องดูว่าทรัมป์จะคิดอย่างไร แต่บอกได้เพียงว่าแค่เห็นแต่ตัวเลขก็ถือเป็นความกังวลแล้ว"
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือ รีบเจรจา เนื่องจากกลุ่มยานยนต์ได้รับผลกระทบหนักมา 2 ปีแล้ว ที่มาจากปัญหาเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ยอดผลิต และยอดขายซบเซา และอาจส่งผลกระทบทางอ้อมไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วน รวมถึงซัพพลายเชนอาจกระทบต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเมื่อรัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน แบรนด์จีนที่มาลงทุนในไทยตามนโยบายจะสะดุดในปัญหาซัพพลายเชนที่ต้นทุนอาจสูงขึ้น สุดท้ายแล้วผู้บริโภคอาจซื้อรถในราคาที่สูงขึ้น
"รัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด รวมถึงสวมสิทธิซึ่งอาจเป็นสินค้าอื่น แต่หากมองในกลุ่มยานยนต์ในการผลิตเขตฟรีโซนที่กำหนดกฎระเบียบการใช้ซัพพลายในประเทศจึงสำคัญ ภาครัฐจึงควรคุยกับสหรัฐเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรมขึ้น"
“เหล็กไทย” ชี้กำลังผลิตจีนยังล้นตลาด
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันทั้งโลกมีความต้องการเหล็กปีละ 1,800 ล้านตัน จีนต้องการใช้ 900 ล้านตัน แต่มีกำลังการผลิต 1,100 ล้านตัน ที่เหลืออีก 200 ล้านตัน ต้องผลักดันส่งออก ส่วนสหรัฐมีความต้องการที่ 100 ล้านตัน โดยนำเข้า 25 ล้านตัน ผลิตเอง 3 ใน 4 มีอัตราการใช้กำลังการผลิต 75%
ส่วนความต้องการเหล็กในไทยที่ 16 ล้านตัน ผลิตเองแค่ 7 ล้านตัน ที่เหลือนำเข้า ถือว่ามีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำสุด โดยปีที่แล้วกำลังการผลิตที่ 28% หากย้อนกลับไปที่จีน ปีที่ผ่านมาผลประกอบการ 3 ไตรมาสแรก 75% ของผู้ประกอบการขาดทุน จากกำลังการผลิตส่วนเกินล้นตลาด ทำให้ต้องส่งออกเหล็กในราคาต่ำ
"อุตสาหกรรมเหล็กไทยหนัก จะเห็นว่ามาตรา 232 ในสมัยทรัมป์ 1.0 ปี 2018 ให้อำนาจประธานาธิบดี โดยสามารถเก็บภาษีหรือกำหนดโควตาได้ ทำให้ไทยโดนเก็บภาษีเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% ให้ความสำคัญปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กสหรัฐยังมีกำไรมาถึงปัจจุบัน"
การเปลี่ยนแปลงเหล็กไทยต่อภาษีสหรัฐน้อย
ทั้งนี้ เมื่อมาสู่ทรัมป์ 2.0 อุตสาหกรรมเหล็กโดนเก็บภาษี 25% มาต่อเนื่อง ไทยส่งไปสหรัฐไม่เกิน 2 แสนตัน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่อเหล็กไทยจึงไม่มาก ซึ่งที่ผ่านมา 1 เดือน ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชัดเจน และในทางกลับกันเหล็กไทยยังมีโอกาสส่งออกไปสหรัฐแม้ไม่มากนัก เช่น ท่อเหล็ก และเหล็กเคลือบ ส่วนผลทางอ้อมอาเซียนเป็นตลาดเป้าหมายเพื่อระบายสินค้า ทุกประเทศจะตั้งการ์ดอุตสาหกรรมเหล็กที่มาจากการที่มีกำลังผลิตที่เกิน
"เอกชนพยายามหาโอกาสทั้งท่อ และเหล็กเคลือบ แม้ค่าขนส่งจะแพงแต่ก็พอส่งไปได้ อาจจะเสมอตัวหรือกำไรเล็กน้อยเพื่อแลกกับการใช้กำลังการผลิต และต้องขอบคุณภาครัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลในมาตรการการป้องกันการทุ่มตลาด เพราะสินค้าเหล็กสามารถดัดแปลงเพื่อเลี่ยงการสำแดงได้ง่าย"
นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐลงทุนเพิ่มเติมด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ เขื่อน ระบบชลประทานเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึง ซึ่งปัจจุบันทราบข้อมูลว่าเข้าถึงได้แค่ 17% เพื่อใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่ม สร้างความเข้มแข็งเกษตรกรไทย ลดต้นทุน กระตุ้นการบริโภค เกิดการจ้างงาน ระบบหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ
"การใช้วัสดุในประเทศ “เมดอินไทยแลนด์” เป็น 50% และขยายโครงการ PPP ที่ปัจจุบันมูลค่ารวมโครงการสูงใกล้ระดับ 1 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มผลิตเหล็กในประเทศ และพิจารณาส่งเสริมลงทุนให้ดี เพราะเหล็กที่ล้นตลาดอยู่แล้ว อาจจะมีการย้ายฐานการผลิต จึงอยากให้มาต่อยอดไม่ใช่แบ่งเค้กก้อนเล็กอยู่แล้วให้เล็กลงไปอีก"
กลุ่มอาหารชี้สัดส่วนส่งออกสหรัฐเริ่มลด
นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาประเทศ ไทยส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม เป็นมูลค่ากว่า 1.65 ล้านล้านบาท โดยเป็นการส่งออกไปสหรัฐราว 1.6 แสนล้าน คิดเป็น 10% ซึ่งถือว่าสัดส่วนไม่ได้มากนัก และมีแนวโน้มลดลงมาเรื่อยๆ
การที่สหรัฐขึ้นภาษีไทย 36% จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มผู้ผลิตรายกลาง และรายเล็กส่งออกอาหารที่เป็นโปรดักต์เฉพาะ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งเริ่มเห็นชะลอสั่งออร์เดอร์ไตรมาส 3-4 แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานภาคเกษตร และประมงให้ต้องตกงาน
“ไทยที่มีสัดส่วนส่งออกอาหารไปสหรัฐมาก เช่น อาหารฟิวเจอร์ฟู้ด ฟังก์ชันฟู้ด มะพร้าว วุ้นมะพร้าว จะโดนผลกระทบเต็มๆ แทบต้องหยุดค้าขาย ห้างสรรพสินค้าในสหรัฐ ส่งประกาศขอให้ลดราคาสินค้า 36% ไทยจะต้องมีวาทะศิลป์ในการเจรจาต่อรองให้เร็ว และเรียกนักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนช่วยเจรจาด้วย โดยใช้ล็อบบี้ยิสต์เข้าช่วย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทไทยไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง ที่ลงทุนในสหรัฐ"
ไทยควรหาแผนสำรองเพิ่มจากการนำเข้า
ทั้งนี้ แผนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐมากขึ้นอย่างเดียว อาจไม่พอที่จะใช้ต่อรองได้ เพราะไทยเกินดุลสหรัฐอยู่อีกมาก และไม่สามารถเพิ่มดุลการค้าได้ทันที รัฐบาลต้องคิดเผื่อว่าจะมีแพ็กเกจอะไรเพื่อใช้เจรจาเพิ่ม เพราะยิ่งรอนาน แรงงานไทยจะยิ่งได้รับผลกระทบ และยังมีประเด็นน่ากังวลหากคู่แข่งทางตรงอย่างเวียดนาม อินเดีย และ อินโดนีเซีย หากเจรจาได้ภาษีที่ต่ำกว่า ไทยจะถูกแย่งตลาดในทันที โดยเฉพาะเวียดนามที่ส่งออกสินค้าใกล้เคียงกันมาก
"สินค้าจากจีนสวมสิทธิเพื่อส่งออก อุตสาหกรรมอาหารนั้นไม่ง่าย จึงไม่กังวลมากนัก เพราะจะต้องลงทุนเปิดโรงงานในประเทศไทย และอีกอย่างหนึ่งคือ ไทยมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะการแปรรูปเพื่อส่งออก ภาษีทรัมป์ครั้งนี้จะกระทบหนักมาก แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าลากยาวผู้ประกอบการรายเล็กจะค่อยๆ ล้มลง”
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล 7 ข้อ ได้แก่ 1.สนับสนุนปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจ 2.ปฏิรูปกฎหมายที่ซ้ำซ้อน 3.ปฏิรูปเรื่องภาษีที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งต้องชดเชยให้ผู้ผลิตภายในประเทศ 4.เร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา 5.เจรจากับกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ยุโรป ออสเตรเลียเป็นแนวร่วมการค้า 6.ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SME และสตาร์ตอัปที่ได้รับผลกระทบ 7.เจรจาให้เร็วโดยให้มืออาชีพ และผู้มีประสบการณ์เข้ามาช่วย และตัดสินใจเร็ว
“กลุ่มพลังงาน” เตรียมบินสหรัฐดูแหล่งผลิต
นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวันจนา ผู้แทนสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนหารือกับภาครัฐมาเป็นระยะ เร็วๆ นี้ภาคพลังงานจะเดินทางร่วมกับปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อดูแหล่งผลิตพลังงานในสหรัฐ
ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงานจากสหรัฐ โดยปี 2567 ซื้อปิโตรเลียม 3,756 ล้านดอลลาร์ นำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นประเทศอันดับ 2 ส่วนประเทศที่ไทยนำเข้ามากที่สุด คือ สหรัฐ อาหรับเอมิเรสต์ (UAE) โดยไทยนำเข้าน้ำมันดิบมาจากสหรัฐ 43 ล้านบาร์เรล และปรับการทำงานของโรงกลั่นเพื่อรับน้ำมันจาก UAE มากที่สุด หากจะให้ไทยนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มจากสหรัฐก็ต้องมีการปรับปรุงโรงกลั่นซึ่งภาครัฐก็ต้องมาช่วยด้วย
มั่นใจไทยพร้อมสู่ฮับ LNG
"เราการนำเข้าก๊าซ LNG ราว 10 ล้านตัน ในสัญญาระยะยาว และใช้ปีก่อนที่ 11.7 ล้านตัน โดยไทยนำเข้าจากสหรัฐ 2 ล้านตัน ในปี 2569 เรามีสัญญาที่ซื้อ LNG จากสหรัฐอีก 1 ล้านตัน มีการผูกกับสัญญาล่วงหน้าไปหมดแล้ว ซึ่งการนำเข้าก๊าซ LNG นั้น ไทยยังสามารถนำเข้าเพิ่มได้อีก เพราะมีท่าเรือที่เก็บก๊าซ LNG อยู่กว่า 2 ท่า มีพื้นที่เก็บก๊าซ LNG ทั้งหมด 19 ล้านตัน โดยใน 2 พื้นที่ ที่มีคลังเก็บก๊าซ LNG ยังมีปริมาณการเก็บได้ 9 ล้านตัน และสามารถสร้างเพิ่มได้อีก 8 ล้านตัน"
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่จะเสร็จในปี 2028 สู่ LNG ฮับแทนที่สิงคโปร์ จะตอบโจทย์การนำเข้าของสหรัฐ ถือเป็นข้อเสนอช่วยรัฐบาลได้ แต่ต้องปลดล็อกการส่งออก LNG ได้ จากที่ภาครัฐล็อกไว้เพื่อให้เป็นความมั่นคงทางพลังงาน แต่ตอนนี้มีการปรับเปลี่ยนส่วนนี้เพื่อรองรับนโยบายเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐ
“ภาคพลังงานพร้อมจะสนับสนุนภาครัฐนำเข้าพลังงานจากสหรัฐเพิ่ม สิ่งที่ภาครัฐต้องช่วยเอกชนก็คือ การปลดล็อกเรื่อง Re Export ให้เราเอา LNG เข้ามาแล้วสามารถส่งออกได้ จะช่วยให้เราเป็นฮับ LNG ภูมิภาคแทนสิงคโปร์ได้”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์