เลี้ยงลูกไม่ให้หลงตัวเอง | วรากรณ์ สามโกเศศ
พ่อแม่ที่ไหนก็อยากมีลูกที่เติบโตขึ้นเป็นคนมีความสามารถ เห็นความสำคัญของตนเอง และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า หลายสิ่งที่พ่อแม่ทำไปเพื่อหวังจะให้ลูกเป็นคนมีลักษณะดังกล่าวกลับมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ลูกกลายเป็นคนหลงตัวเอง วันนี้มาดูกันว่าเลี้ยงลูกอย่างไรจึงจะได้ผลดังที่ต้องการ
ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง เห็นคุณค่าของตนเองและเคารพตนเอง ดังที่เรียกว่า Self-Esteem นั้นเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญอย่างยิ่งในการนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ส่วน Narcissism คือความคลั่งไคล้ลุ่มหลงตัวเองและชื่นชมในตัวเองอย่างเกินขนาดนั้นมักเกี่ยวพันกับความรู้สึกกังวลใจ ความรู้สึกหดหู่ซึมเศร้า และความก้าวร้าวอยู่เสมอ
เด็กที่มีความรู้สึกคลั่งไคล้ตัวเองจะเชื่อว่าตนเองมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ และสมควรได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ หลายคนอาจเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการผิดปกติทางจิตที่สะท้อนถึงภาวะความบกพร่องทางบุคลิกภาพ (Narcissistic Personality Disorder)
ซึ่งจะทำให้ขาดความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (lack of empathy) และมีปัญหาในด้านความสัมพันธ์
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าความคลั่งไคล้และหลงใหลตัวเองก็คือการมีความเชื่อมันในความสามารถของตนเองที่มากไปอย่างเกินขอบเขต แต่งานวิจัยพบว่าสองสิ่งคือ Self-Esteem และ Narcissism นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Dr.Cara Goodwin ผู้เขียนบทความเรื่อง “Raising a Child With High Self-Esteem but Not Narcissism” ใน Psychology Today ในฉบับเดือนเมษายน 2022 ยืนยันข้อแตกต่างนี้ ผู้เขียนขอนำข้อแนะนำของเธอมาใช้ในที่นี้
ความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้มีความสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูลูกเพราะการพูดสนับสนุนอย่างผิด ๆ อาจนำไปสู่การคลั่งไคล้หลงตัวเองได้ พ่อแม่สามารถสังเกตลูกได้ว่ามีทางโน้มสู่ Narcissism หรือไม่ดังต่อไปนี้
(1) ไม่มองตัวเองอย่างอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เด็กเหล่านี้จะมองไม่เห็นตัวเองอย่างชัดแจ้ง มองเห็นแต่ความยอดเยี่ยมกว่าผู้อื่น
(2) ต้องการความเหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ เด็กเหล่านี้ต้องการรู้ว่าตัวเขาเก่งกว่าคนอื่น มักเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและมีทางโน้มมองตัวเองว่าเก่งกว่าอยู่เสมอ ในขณะที่เด็กเชื่อมั่นในความสำคัญของตนเองมักสนใจความสำเร็จของตนเองและการพัฒนาขึ้นมากกว่าการเปรียบเทียบกับคนอื่น
(3) ความอ่อนไหว เด็กคลั่งไคล้ตนเองมักคิดว่าทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นผลมาจากการกระทำของตนเอง ดังนั้นบ่อยครั้งจึงรู้สึกโกรธ อับอาย และก้าวร้าวเมื่อตนเองล้มเหลว ส่วนเด็กเชื่อมั่นในความสำเร็จของตนเองสามารถรักษาการมองตนเองในด้านบวกไว้ได้ถึงแม้จะมองว่าตนเองล้มเหลวก็ตามที
ข้อสังเกตเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการคลั่งไคล้หลงใหลตัวเองมิใช่ดีกรีที่เพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง การมองเห็นความสำคัญและคุณค่าของตนเองหรือ Self-Esteem แต่อย่างใด สองสิ่งแตกต่างกัน คำถามที่สำคัญก็คือพ่อแม่จะปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีของ Self-Esteem ในตัวลูกอย่างไรโดยไม่ไปสนับสนุน Narcissism
ผู้เขียน Dr.Cara Goodwin ใช้งานวิจัยเป็นแนวทางในการให้คำแนะนำดังต่อไปนี้
(1) มองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกอย่างอยู่ในโลกที่เป็นจริง ระวังการประเมินความสามารถของลูกที่ต่ำหรือสูงเกินจริง การประเมินลูกสูงเกินไปจะเท่ากับเป็นการสนับสนุน Narcissism งานวิจัยพบว่าพ่อแม่ของเด็กที่คลั่งไคล้ตนเองเชื่อว่าลูกของตนฉลาดกว่าเด็กอื่น ๆ ถึงแม้ในความเป็นจริงจะฉลาดระดับเฉลี่ยก็ตามที
(2) จริงใจในการชมลูกและหลีกเลี่ยงคำชื่นชมที่เว่อร์เกินไป พ่อแม่ของเด็กคลั่งไคล้ตนเองมักใช้คำชื่นชมที่สุดโต่งมาก ๆ เช่น “ภาพวาดของลูกสวยที่สุดที่พ่อเคยเห็นมา” ซึ่งถ้าชมอย่างซื่อสัตย์ก็อาจเป็น “ลูกได้พยายามอย่างมากในการเขียนรูปนี้”
(3) หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ พ่อแม่ของเด็กหลงตัวเองมีทางโน้มที่จะแคร์มากกับสถานะของลูกในสังคมเด็ก และมักสื่อสารกับลูกทำนองว่าลูกเก่งกว่าคนอื่น ๆ ที่ถูกต้องนั้นแทนที่จะเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น ควรเปรียบเทียบสิ่งที่ลูกทำในปัจจุบันกับที่ทำในอดีตว่าดีขึ้นอย่างไร งานวิจัยพบว่าวิธีการนี้จะเพิ่มความภาคภูมิใจของลูกโดยไม่ทำให้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น
(4) เน้นการทำงานหนัก ความพยายาม และการมองว่าความล้มเหลวคือโอกาสในการเรียนรู้ การชื่นชมลูกในลักษณะข้างต้นมีทางโน้มที่จะเพิ่ม Self-Esteem ถ้าพ่อแม่มองว่าความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้แล้ว เด็กมีทางโน้มที่จะเชื่อในความสามารถของตนเองที่จะเติบโตและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ดังนั้นพ่อแม่ควรชมลูกในด้านการทำงานหนัก และความพยายาม (“การชมกระบวนการ”) โดยหลีกเลี่ยงคำชมที่เกี่ยวโยงกับสิ่งตายตัว (“การชมบุคคล”) เช่น “ลูกเก่งมาก” อยู่เสมอ
(5) แสดง “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” เด็กหลงใหลตัวเองมักมีประสบการณ์ “ความรักที่มีเงื่อนไข” จากพ่อแม่ กล่าวคือรู้สึกว่าความรักที่พ่อแม่มีต่อเขานั้นขึ้นอยู่กับการทำสิ่งที่พ่อแม่ต้องการให้ทำ ในขณะที่เด็กเห็นความสำคัญของตนเองมักมีพ่อแม่ที่ “รักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
กล่าวคือมีประสบการณ์ของความรักที่มีเสถียรภาพไม่ว่าลูกจะกระทำสิ่งใดก็ตาม เด็กคลั่งไคล้ตัวเองมักรู้สึกว่ามีคุณค่าสมกับความรักของพ่อแม่ก็ต่อเมื่อเขาบรรลุการคาดหวังของพ่อแม่ หรือเขาเป็น "คนพิเศษ”
“ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” ช่วยให้เด็กรู้สึกอับอายน้อยลงเมื่อล้มเหลว คำแนะนำในเรื่องการแสดงออกถึง “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” คือหลังจากแก้ไขลงโทษการกระทำผิดของลูกไปแล้ว จงแสดงให้เห็นความรักความอบอุ่นต่อไป จงแสดงออกและบอกเขาว่าจะรักและยอมรับเขาเสมอไม่ว่าเขาจะเรียนหนังสือเก่ง หรือแข่งกีฬาชนะหรือไม่ก็ตาม
การสนับสนุนให้ลูกเป็นคนที่มี Self-Esteem สูงนั้นเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหน้าที่ของพ่อแม่โดยได้รับการสนับสนุนจากปู่ย่าตายายด้วย คำพูดต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนั้นโดยแท้จริงแล้วมีอิทธิพลต่อความคิดของเด็กเป็นอย่างมาก.