ตลาดหุ้นน่าลงทุนต่อ หรือมี Sell in May ให้น่ากังวล ?
เป็นอีกเดือนที่นักลงทุนคงต้องรับมือการปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนกันอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเดิม แต่มีผลเชิงลบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามในยูเครน และเศรษฐกิจโลกที่ถูกปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจจาก IMF , World bank เป็นต้น เดือนพ.ค. มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตามบ้างและจะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรดี
เรื่องแรก คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ล่าสุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่คาดการณ์ และส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในระดับ 0.50% ในครั้งต่อไป พร้อมกับใช้มาตรการ QT ในเดือน มิ.ย. นี้ เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่มองว่าเป็นโจทย์ใหญ่ต่อเศรษฐกิจในเวลานี้ แน่นอนว่าทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับพุ่งขึ้นต่อ , เงินดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลให้ตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่เกิดความผันผวนจากกระแสเงินทุนที่ไหลออก เป็นปัจจัยที่นักทุนต้องระมัดระวังในระยะจากนี้
ขณะที่สงครามในยูเครน คือ ประเด็นใหญ่ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกและหลายประเทศอย่างมาก การสู้รบที่ลากยาวเข้าสู่เดือนที่ 3 พร้อมกับการสนับสนุนทหารจากพันธมิตรชาติตะวันตกให้กับยูเครน ทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์อาจขยายวงจากในยูเครนออกไปสู่ประเทศอื่นในยุโรป และการถูกตอบโต้จากรัสเซียด้วยอาวุธที่รุนแรงมากขึ้น รวมถึงการหยุดส่งพลังงานให้ยุโรป ซึ่งนั่นจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปได้รับผลกระทบหนัก
อีกเรื่องคือ การหดตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน เนื่องจากการใช้นโยบายควบคุมโควิด-19 ด้วยล็อคดาวน์หลายเมืองใหญ่ แม้ว่าทางการจีนจะเริ่มเห็นการผ่อนคลายในบางเมืองใหญ่ที่สำคัญอย่าง เซี่ยงไฮ้ , เซินเจิ้น ทำให้ภาพการขนต่าง ระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ ทยอยเริ่มกลับมา แต่ด้วยรัฐบาลจีนยังคงมาตรการคุมโควิดแบบนี้ จึงยังต้องติดตามว่าจะกระทบเศรษฐกิจจีนเพียงใด และจะมีผลต่อประเทศที่ส่งออกไปจีนรวมทั้งไทยอย่างไร รวมทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นจีนด้วย
เป็นปัจจัยหลักจาก 3 ภูมิภาค ที่เป็นประเด็นในเชิงลบพอสมควร ส่วนในประเทศเราเองมีทั้งประเด็นบวก อย่างการยกเยิกมาตรการตรวจโควิดของผู้ที่เดินทางเข้าไทยที่เป็นสัญญาณบวกต่อธุรกิจการท่องเที่ยวและหุ้นที่เกี่ยวข้อง แต่มีปัจจัยทางการเมืองให้ติดตาม เช่น เรื่องกระแสการยุบสภาเลือกตั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องไปถึงเรื่องนโยบายภาครัฐและการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเรื่องเงินเฟ้อและราคาสินค้าต่างๆที่เพิ่มขึ้น เป็นตัวกดดันต่อเศรษฐกิจและการกำหนดนโยบายการเงินในระยะจากนี้
การลงทุนเราจึงเห็นราคาสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว จึงมีคำถามว่าจังหวะนี้ควรถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน หรือเข้าลงทุนได้ต่อและจะลงทุนแบบไหนดี ? และจะเกิด Sell in May ให้ต้องกังวลในเดือนนี้ด้วยหรือไม่ ?
KTBST SEC มองว่า โอกาสการเกิด Sell in May ในเดือน พ.ค. นี้ ขึ้นอยู่ปัจจัยเศรษฐกิจที่ได้รับแรงกดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จนอาจทำให้ราคาสินทรัพย์และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามคือ เรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนหากยังสามารถขยายตัวต่อไปได้ ถือว่ายังมีโอกาสการลงทุนมากกว่าความเสี่ยง และควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการเติบโตชัดเจน
โดยรวม KTBST SEC ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในภูมิภาคตลาดพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯและยุโรปเป็นหลัก โดยเน้นลงทุนผสมในหุ้นกลุ่ม Growth และ Value เท่าๆกัน เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสามารถรับมือได้กับความที่ไม่แน่นอนของนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและผลกระทบจากสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ส่วนตลาดหุ้นไทยเนื่องจากระยะนี้จะมีกดดันจากกระแสเงินลงทุนของชาติที่ไหลออกเป็นระยะ ดังนั้นต้องใช้ความระมัดระวังอาจสลับถือเงินสดบ้างเพื่อรอจังหวะเข้าซื้อและขายกำไรในหุ้นที่ขึ้นไปมากเพื่อลดความเสี่ยง