เจ้าภาพซีเกมส์กินรวบ | วรากรณ์ สามโกเศศ
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 31 เวียดนามเป็นเจ้าภาพสมความปรารถนาในการได้เป็นเจ้าซีเกมส์ด้วยเหรียญทองมากที่สุดคือ 205 เหรียญ และมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันซีเกมส์ด้วย
ชัยชนะมาจากการวางแผนและความจำเป็นทางการเมืองในการหล่อหลอมคนในประเทศให้เดินไปข้างหน้าด้วยโมเมนตั้ม เรียกได้ว่า เจ้าภาพครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน
ซีเกมส์ครั้งแรกจัดขึ้นที่ประเทศไทยในปี 1959 โดยสมัยนั้นมีชื่อเรียกว่า SEAP Games ซึ่งเป็นความพยายามในการรวมประเทศในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันเพื่อต้านภัยคอมมูนิสต์ที่เริ่มคุกคามขึ้นทุกที ทุกครั้งที่ผลัดกันจัดงาน เจ้าภาพก็จะใช้สถานะของตัวเองให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองซึ่งเหมือนกันทั่วโลก
สาเหตุที่มีเหรียญทองให้ชิงชัยมากมายเหลือล้นดังเช่นครั้งนี้ซึ่งมีถึง 500 เหรียญทอง (เวียดนามได้ 205 ไทย 92 และอินโดนีเซีย 69) ก็เพราะกติกาของซีเกมส์ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนของประเภทกีฬาและเหรียญที่มีให้ เป็นสิทธิของเจ้าภาพในการกำหนดและขอความเห็นชอบจากสมาชิกตามธรรมเนียม ดังนั้น เจ้าภาพจึงมักเพิ่มประเภทกีฬานิยมในท้องถิ่นของตนเองและประเภทที่ตนถนัด
นอกจากนี้ก็มีการกำหนดเวลาจัดงานไว้ล่วงหน้าก่อนหลายปีและเจ้าภาพรู้ว่าจะมีกีฬาประเภทใดแข่ง ทำให้ได้เปรียบในการเตรียมตัว ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 จะจัดที่กัมพูชา 2025 ที่ไทย 2027 ที่มาเลเซีย และ 2029 ที่สิงคโปร์ (จัดในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ ยกเว้นปีนี้ที่ย้ายมาจากปีก่อนจึงเป็นปี 2022)
(ภาพจาก: Dom Le Roy)
เราควรยินดีกับเวียดนามเพื่อนของเราในอุษาคเนย์ ที่ได้การเป็นเจ้าซีเกมส์มาช่วยผลักดันเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ยิ่งเรามีเพื่อนที่ร่ำรวยเราก็ยิ่งมีคู่ค้าที่มีอำนาจซื้อมาค้าขายกับเรา ร่วมลงทุน และได้ประโยชน์ร่วมกันในหลายมิติ
ใจเราไม่ควรต่อต้านโดยคิดกับเขาในด้านลบเพราะเห็นเป็นคู่แข่ง เพราะในความเป็นจริงแล้วเราก็ไม่สามารถไปทำอะไรได้ ความสำเร็จมาจากนโยบายที่เหมาะสม ประสิทธิภาพของภาครัฐ จำนวนและคุณภาพของคน ฯลฯ
มาทวนความจำกัน คนเวียดนามที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปซึ่งมีอยู่ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศเคยประสบความลำบากยากแค้น ประเทศตกอยู่ในสภาวะสงครามต่อเนื่องกัน 70 ปี โดย 50 ปีสู้กับฝรั่งเศสก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
และอีก 20 ปีกับสหรัฐอเมริกา คนชาติเดียวกันจากเหนือและใต้ฆ่าฟันกันตายไป 1-3 ล้านคน กว่าจะรวมเป็นชาติเดียวกันสำเร็จในปี 1976
10 ปีผ่านไปพอตั้งหลักได้ในปี 1986 เศรษฐกิจเวียดนามก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในเวลา 30 ปี รายได้ต่อหัวเพิ่มกว่า10 เท่าจนเป็น 3,500 เหรียญสหรัฐ ในปัจจุบันผู้คนโดยเฉพาะหนุ่มสาวเริ่มลืมตาอ้าปากมีเงินมีทองมีชีวิตที่ดีเหมือนพวกเราเมื่อ 30 ปีก่อน
รัฐบาลสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมากด้วยแรงงานราคาถูกและมีจำนวนมาก (คนอายุต่ำกว่า 35 ปี มีอยู่ครึ่งหนึ่งของประเทศ) การเข้าร่วมภาคีการค้าเสรีจำนวนมากทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างมากและต่อเนื่อง สิ่งสำคัญก็คือ ความตื่นตัว มีวินัยและขยันหมั่นเพียรสู้ชีวิตและพยายามพัฒนาตนเองของคนเวียดนาม
คนเวียดนามผิดหวังที่แพ้ไทยในวอลเลย์บอลหญิง ฟุตซอลทั้งหญิงและชาย วิ่ง 100 เมตรชาย 4x100 200 เมตร 400 และ 800 เมตรชาย และ 4x100 หญิง ฯลฯ เขามีความภาคภูมิใจในประเทศของเขา มั่นใจในความสามารถ และรู้สึกห้าวหาญ การชนะฟุตบอลหญิงและชายโดยชิงเหรียญทองจากไทยอย่างสะใจจึงเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้
คนเวียดนามจำนวนหนึ่งมองไทยเป็นคู่เทียบ เขาไม่มองฟิลิปปินส์ที่มีประชากรใกล้เคียง (ฟิลิปปินส์ 110 ล้านคน) เพราะรายได้ต่อหัวตีมาใกล้เคียงกันแล้ว (ฟิลิปปินส์ 3,600 เหรียญ) เขาไม่มองอินโดนีเซียเพราะมีประชากรแตกต่างกันมาก (ประชากร 274 ล้านคน รายได้ต่อหัว 4,7000 เหรียญ)
ส่วนบรูไนและสิงคโปร์นั้นมีรายได้สูงจนอยู่นอกขอบเขต เช่นเดียวกับมาเลเซีย ลาว และกัมพูชาที่มีประชากรน้อยกว่ามาก ไทยนี่สิด้วยประชากร 66 ล้านคน รายได้ต่อหัว 7,500 เหรียญซึ่งมากกว่าเวียดนาม 1 เท่า เป็นคู่เทียบที่เขาสนใจ
ตลอดเวลา 46 ปี ที่รวมประเทศกัน ความรู้สึกของคนในเขตทางเหนือของเวียดนามที่มีฮานอยเป็นหลักกับคนทางใต้ที่มีโฮจิมินซิตี้ หรือไซ่ง่อนเก่าเป็นหลักไม่ผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันนัก อย่าลืมว่าเดิมเป็นสองประเทศที่ฆ่าฟันกันคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ซึ่งสุดท้ายเวียดนามเหนือชนะ
ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีนโยบายเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งและกีฬาคือเครื่องมืออันเหมาะสมในการหลอมรวมสปิริตของคนเวียดนามเข้าด้วยกัน ยิ่งบ้าคลั่งฟุตบอลมากเท่าใด การชนะฟุตบอลโดยเฉพาะชนะไทย ซึ่งคนบางส่วนเห็นเป็นคู่เทียบ จึงมีความสำคัญเพียงนั้น
ในมิติระยะทาง คนทางเหนือและใต้อยู่ห่างกันมาก เวียดนามนั้นมีพื้นที่ประมาณ 330,000 ตารางกิโลเมตร (ไทยประมาณ 500,000 ตารางกิโลเมตร) มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวขนานฝั่งทะเล โฮจิมินซิตี้ห่างจากฮานอย 1,700 กิโลเมตร (นั่งรถไฟ 35 ชั่วโมง) แต่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 860 กิโลเมตร ระยะทางไกลทำให้ใจห่างกันไปด้วย
คนเวียดนามที่เกิดหลัง 1976 มิได้รู้รสความเจ็บปวดจากสงคราม สูญเสียญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมชาติ ต้องทนเห็นคนสายเลือดเดียวกันฆ่ากันเป็นผักเป็นปลา อดอยากยากแค้นแสนสาหัส บ้านแตกสาแหรกขาด
เมื่อสันติภาพและเอกราชกลับคืนมาพร้อมกับความกินดีอยู่ดี ผู้ใหญ่เหล่านี้ที่มีอยู่ประมาณครึ่งประเทศจึงพอมีความสุขบ้าง เมื่อเห็นความสุขจากชัยชนะของทีมฟุตบอลของเขาแล้ว
โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เสียใจที่ทีมไทยแพ้หากทำให้คนเวียดนามเหล่านี้ได้พอมีความสุขขึ้น และถือเป็นการไถ่โทษด้วยที่ไทยเราก็ทำอะไรไม่ดีไว้มากในสงครามครั้งนั้น แต่เพื่อนเราเหล่านี้เขาบอกว่าเขาลืมอดีตไปหมดแล้วมองหาแต่อนาคต
จากประชากรประมาณ 50 ล้านคนในปี 1980 หลังสงครามใหม่ ๆ ปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็น 96 ล้านคน และคาดว่าจะถึง 110 ล้านคนในปี 2054 การมีประชากรจำนวนมากอาจมีผลดีในด้านแรงงาน อำนาจซื้อ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
แต่ก็มีผลเสียเช่นกันโดยเฉพาะในการมีภาระต้องเลี้ยงดูและทำให้ปัญหาต่าง ๆ มีความหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสียหายได้มากดังเช่นกรณีของฟิลิปปินส์
เราควรช่วยกันภาวนาให้พวกเราในอาเซียนเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคง เป็นพันธมิตรในทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมและเหนือสิ่งอื่นใดอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข.