กลยุทธ์ปรับพอร์ต เอาชนะความไม่แน่นอนสูง
การผันผวนของตลาดการเงินโลกเริ่มสะท้อนความกังวลที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ของสหรัฐฯมากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อที่สูงจนกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ผลสะท้อนจากเรื่องนี้กดดันตลาดหุ้นโลกรวมทั้งไทย ซึ่งเห็นได้จากดัชนี SET Index ปรับตัวลงมาถึง 6% ทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,530 จุด
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทย มีข้อดีและแตกต่างจากที่อื่น แม้กระทั่ง อินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์ ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ต่ำกว่าด้วย นั่นคือ เมื่อเวลามีข่าวลบกระทบต่อตลาดหุ้นไทย การขายหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนไทยจะเป็นฝ่ายซื้อ ซึ่งการสลับเข้าซื้อหุ้นรายตัวหรือกลุ่มรายต่างๆ
ทำให้ดัชนีฯ ตลาดเกิดการเคลื่อนไหวแบบเป็น V-shape ให้เห็นอยู่เกือบทุกรอบ นั่นหมายความว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงที่ดัชนีฯลงแรงๆ อย่างเช่นในรอบนี้ ที่ระดับ 1,530 จุด ถือว่าเป็นการซื้อที่ถูกจังหวะและได้กำไรจากความกล้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ โดยเฉพาะใครที่เข้าซื้อหุ้นหุ้นที่ลงมาลึกมาก เช่น กลุ่มโรงพยาบาล
ดังนั้นปัจจัยตลาดที่ไม่แน่นอนสูง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจากต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้สินทรัพย์ต่างๆ มีความเสี่ยงและผันผวนสูง KTBST SEC มีกลยุทธ์ที่แนะนำนักลงทุนอยู่เป็นประจำ คือ การจัดพอร์ตลงทุน นั่นคือ “ไม่แนะนำให้หยุดซื้อ” เพียงอย่างเดียวเวลาที่ดัชนีปรับตัวลง แต่เราพยายามเลือกหุ้นรายตัวหรือกลุ่มหุ้นที่สามารถปรับตัวชนะตลาดได้ หรือขึ้นสวนตลาด ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการแนะนำของเรามักจะดีสวนทางกับตลาดอยู่บ่อยครั้ง
เทคนิคและกลยุทธ์ ลงทุนตลาดหุ้นไทย ในช่วงตลาดผันผวนเช่นนี้ คือ เน้นลงทุนสั้น (2-5 วัน) ขณะเดียวกันแนะนำให้มีเงินสดในมือไว้สัก 20-30% เผื่อมีหุ้นที่ดีและราคาลงมาเป็นจังหวะให้ซื้อ
โดย ภาวะที่กำลังมีความกลัว “Recession” หรือดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ หุ้นที่ KTBST SEC พิจารณาว่าควรเลี่ยงในเวลานี้ คือ กลุ่มธนาคาร , การเงิน , สินค้าโภคภัณฑ์ , ส่งออก รวมไปถึงหุ้นที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือย หรือมีหนี้มากๆ เช่น อสังหาฯ และกลุ่มพลังงานทดแทน ที่ฐานะการเงินไม่แข็งแรง ซึ่งหุ้นที่มีการจัดโครงสร้างทางการเงิน (หนี้+ทุน) ที่ดีมีไม่มาก เมื่อพิจารณาว่าถ้าดอกเบี้ยปรับขึ้น แต่เศรษฐกิจชะลอตัว
แล้วหุ้นกลุ่มไหนที่น่าสนใจและเหมาะที่จะลงทุนได้ในตลาดแบบนี้ KTBST SEC อยากให้เลือกหุ้นที่พื้นฐานแข็งแรงและต้านทานความผันผวนของตลาดได้ดีและจะน่าสนใจมากขึ้นหากถ้าราคาลงมาลึก อาทิ CBG, EPG รวมไปถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง อาทิ PTT , SPALI
ภาพรวมตลาดในช่วงระยะนี้คงจะเคลื่อนไหวอ้างอิงกับความกลัวการเกิด “Recession” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ , สงครามในยูเครน ราคาพลังงานและราคาสินค้าที่แพงขึ้นทั่วโลก เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับธนาคารกลางในการพิจารณาความสมดุลของเศรษฐกิจกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ อีกเรื่องประเด็นที่อยากให้นักลงทุนติดตามและต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน คือ การคาดการณ์การเติบโตของกำไรตลาดหุ้นไทยปีนี้ ที่จะต้องถูกปรับลง เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก เจอปัญหาด้านการขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบ (Supply shortage) จากการระบาดของจีนและสงครามยูเครน ดังนั้นผลประกอบการงวดครึ่งปีหลัง จะเจอปัญหาด้านกำลังซื้อหรือรายได้ที่จะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบมาถึงไทย โดยเฉพาะภาคส่งออก ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ (น้ำมัน ,โลหะ , เกษตร) ดังนั้นเป้าหมายดัชนี SET Index ในปีนี้จะถูกปรับลงตามไปด้วย