เสนอสูตรยุติสงครามยูเครน (2) | วิกรม กรมดิษฐ์
ผมมีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศยูเครนกับรัสเซียเป็นอย่างมาก เพราะได้ศึกษาติดตามมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญวิเคราะห์สถานการณ์นี้ไว้ว่า สงครามยูเครนในขณะนี้ดูเหมือนว่าทางนาโตจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความทันสมัยไปให้กับยูเครน
โดยมองว่าหากยูเครนตกไปเป็นของรัสเซียก็จะเกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น เพราะพื้นที่ของปัญหาจะลามออกไปนอกรัสเซีย เหมือนดังที่ประเทศด้านตะวันตกกังวล
การที่ผู้นำใหญ่ฝ่ายนาโต คือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ รวมถึงผู้นำจากชาติยุโรปตะวันตกอย่างนายบอริส จอห์นสัน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เดินทางมาที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงยูเครน เพื่อพบปะหารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนรอบที่ 2
มีการให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า จะช่วยดำเนินการฝึกอบรมกองกำลังทหารของยูเครนให้มีศักยภาพในการใช้อาวุธที่ทันสมัยให้ได้มากถึง 10,000 นาย เพื่อเปลี่ยนเกมของสงครามครั้งนี้ ทำให้เห็นว่ามีเรื่องของอารมณ์การต่อสู้มากกว่าการมุ่งหวังเจรจา
ประกอบกับก่อนหน้านี้ นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นายโอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี นายมาริโอ ดรากี นายกรัฐมนตรีอิตาลี และนายเคลาส์ อิโอฮานิส ประธานาธิบดีโรมาเนีย
ผู้นำ 4 ประเทศก็ได้เดินทางมาที่กรุงเคียฟเช่นกัน และได้พูดคุยกับผู้นำของยูเครน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนรัฐบาลยูเครน
หลังจากการพูดคุยแล้วเสร็จ ผู้นำทั้ง 5 ประเทศออกแถลงการณ์ร่วมกัน โดยนายเซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยว่า จากการหารือครั้งนี้เป็นไปได้ว่ามีโอกาสที่จะมีการคว่ำบาตรรัสเซียร่วมกับผู้นำทั้ง 4 ชาติ ตรงนี้ทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าสงครามครั้งนี้อาจจะมีการลากยาว
ในขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวในเวทีการประชุมเศรษฐกิจนานาชาติเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (SPIEF) ว่า การที่กลุ่มประเทศจากชาติตะวันตกรวมตัวกันพยายามมีมาตรการคว่ำบาตรด้านเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซีย
ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ต้องได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ เอง เดือดร้อนเอง เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน ทั้งเรื่องของอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น พลังงานและสิ่งของต่างๆ แพงขึ้น
หากมองสถานการณ์สิ่งที่ทั้งสองประเทศ ทั้งรัสเซียและยูเครนกำลังทำเพื่อตอบโต้กันนั้น สามารถมองได้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังประเมินว่าประเทศของตนเองมีโอกาสที่จะยื้อสถานการณ์สงครามครั้งนี้ไว้ได้นานกว่า และประเมินว่าประเทศมีศักยภาพในการต่อสู้ สามารถชนะได้
"หากเป็นเช่นนี้ก็จะไม่ก่อให้เกิดสันติภาพขึ้นภายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เพราะสหรัฐและยุโรปตะวันตกไม่สามารถที่จะยอมให้รัสเซียชนะยูเครน"
ส่วนทางฝั่งรัสเซียก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจีนยังคงเป็นพันธมิตรที่ดีในการที่สนับสนุนอยู่ ทั้งด้านความมั่นคงและเรื่องอธิปไตยของรัสเซีย โดยได้รับคำมั่นสัญญาจากนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพราะฉะนั้นก็ยิ่งจะทำให้ฝั่งของรัสเซียมั่นใจว่าจะสามารถชนะสงครามในครั้งนี้ได้เช่นกัน แต่ในทางกลับกันถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประเมินว่าจะไม่สามารถต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ได้ จึงจะก่อให้เกิดการเจรจา
แต่ในอีกมุมมองหนึ่งของผม มองว่านักเจรจาที่มีเทคนิคต้องโชว์ให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าจะมีการต่อสู้อย่างจริงจัง จะไม่มีการอ่อนข้อให้
การที่นาโตส่งผู้นำทั้ง 4 ประเทศชั้นน ไปเยือนยูเครนเป็นการรวมตัวที่แสดงให้เห็นว่า ยุโรปให้การสนับสนุนยูเครนและยังเป็นการแสดงพลังและอำนาจ พร้อมกันกับทางด้านของนายมาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อาจจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาท
เนื่องจากเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติพิเศษด้านการเจรจาและมีความสนิทสนมกับทั้ง 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายผู้นำยูเครนและรัสเซีย
วันนี้เราสังเกตถึงผลกระทบที่ได้จากสงครามครั้งนี้คือ เรื่องของ “การขว้างงูไม่พ้นคอ” ทำให้ถูกงูกัดกำลังเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศนาโต ในขณะที่ของประเทศรัสเซียกลับดีขึ้น ค่าเงินแข็งขึ้น รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น เป็นผลพลอยได้มาจากราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส รวมถึงเศรษฐกิจโดยภาพรวมเติบโตขึ้น และรัสเซียเหมือนใช้ยูเครนเป็นกระสอบทรายที่จะชกหรือพักเมื่อใดก็ได้
ส่วนตัวผมจึงมองว่า ณ ตอนนี้รัสเซียกำลังเป็นประเทศที่ได้เปรียบ แน่นอนหากเกิดการเปรียบเทียบกันด้านกำลังทรัพย์และขนาดเศรษฐกิจรัสเซียไม่สามารถสู้กับประเทศในกลุ่มนาโต เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจไม่ถึง 1 ส่วน 10 ของขนาดเศรษฐกิจประเทศในกลุ่มนาโต
จึงเชื่อว่าสิ่งนี้ทำให้นาโตตัดสินใจผิด เพราะคิดว่ารัสเซียเป็นประเทศเล็กๆ แต่วันนี้รัสเซียมีความเข้มแข็งขึ้น เพราะเงินไหลเข้าสู่ประเทศรัสเซียจากการซื้อแก๊ส น้ำมัน สินค้าทางการเกษตร ปุ๋ยและอื่นๆ สินค้าเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เม็ดเงินของรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ.