bx.in.th “ใคร?... จะเป็นรายต่อไป”
เช้าวันจันทร์ที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา เว็บเทรดเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย bx.in.th ได้ประกาศปิดตัวลง
โดยได้ตัดสินใจยุติบทบาทการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากพากันฉงนสังสัยว่า ทำไม? เว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลนี้จึงประกาศปิดตัวลง แล้วจะมีรายต่อๆไปอีกหรือไม่? วันนี้...ผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านไปดูกันว่า ในอนาคตการเทรดเงินสกุลดิจิทัลในตลาดเมืองไทยจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดเพียงไร? และโมเดลธุรกิจในต่างประเทศที่ทำให้เว็บเทรดเหล่านี้อยู่รอด...และเป็นผู้ชนะได้เป็นอย่างไร? ดังนี้ครับ
หนึ่ง “ปลาเร็ว...กินปลาช้า” และ “ปลาใหญ่...กินปลาเล็ก”
สมัยนี้มักจะมีคนพูดกันว่าเป็นสมัยของ “ปลาเร็ว...กินปลาช้า” แล้ว แต่ในวงการเว็บเทรดเงินสกุลดิจิทัลนั้น ปลาเร็วอย่างเดียว...ไม่พอ มันจะต้องเป็นทั้งปลาเร็ว...และต้องตัวใหญ่ด้วย คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบดีว่า ตอนนี้เว็บเทรดเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย 3 อันดับแรกคือ bx.in.th, bitkub.com และ satang.pro ซึ่ง 3 เจ้ากินส่วนแบ่งรวมกันมากกว่า 90% ของเมืองไทย เท่านี้ก็คงจะทำให้ผู้เล่นทุกคนแฮปปี้...ไม่ต้องดิ้นรนก็ได้ ยิ่งในเวลานี้ bx ปิดตัวไปแล้ว ที่เหลืออีก 2 เจ้าก็คงจะมีความรู้สึกว่าได้ “ส้มหล่น” จากนี้คงจะสบายไปอีกนาน
แต่สึนามิลูกใหม่...กำลังจะก่อตัวขึ้น พอลองไปเช็คดูว่าในเวลานี้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในบ้านเราที่ได้รับอนุญาตจาก กลต. แล้วมีกี่แห่ง ก็พบว่ามีทั้งหมดด้วยกัน 4 แห่งด้วยกันคือ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Satang Pro) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) บริษัท บิเธิร์บ จำกัด (BiTherb) และ บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด (Huobi) หากพิจารณาดูแล้วรายหลังสุดนี้น่ากลัวที่สุด หั่วปี้ จะใช้แพลตฟอร์ม Huobi Cloud ซึ่งเป็นสนับสนุนกลยุทธ์การขยายตัวไปทั่วโลก ปัจจุบัน Huobi Cloud ได้ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยในการเปิดตัวเว็บเทรดมากกว่า 120 แห่งทั่วโลก ทั้งรัสเซีย อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย แคนาดาและบราซิล จึงดูเหมือนว่า...งานครั้งนี้...คง “ไม่หมู” อย่างที่คิดไว้
สอง โมเดลธุรกิจเว็บเทรดเงินสกุลดิจิทัลในต่างประเทศ
โมเดลธุรกิจของเว็บเทรดเงินสกุลดิจิทัลมีหลากหลายรูปแบบ ในระดับโลก เช่น เว็บ Binance, Huobi ซึ่งเป็นเว็บเทรดที่จับคู่เงินสกุลดิจิทัลด้วยกันเทรดกัน อาทิ บิทคอยน์กับอีเธอเรียม (BTC-ETH) เว็บเทรดเหล่านี้จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมจากการเทรดซึ่งมักจะคิดประมาณ 0.25% ของการเทรด แต่มักจะจ่ายเป็นบิทคอยน์ ในช่วงหลังนี้บรรดาเว็บใหญ่ๆเหล่านี้มักจะทำ ICO แล้วออกเหรียญดิจิทัลของตัวเอง เช่น Binance ก็ออกเหรียญ BNB (Binance Coin) ออกมา แล้วถ้าจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมด้วยเหรียญเหล่านี้ ค่าธรรมเนียมก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้เหรียญเหล่านี้มีการใช้อย่างแพร่หลาย และทำให้เหรียญเหล่านี้ราคาพุ่งขึ้นตามการใช้จ่ายของเหรียญ คนที่รับทรัพย์ก็คือ เจ้าของเหรียญ หรือ...เจ้าของเว็บเทรด นั่นเอง
โมเดลธุรกิจอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจเป็นของญี่ปุ่น ในญี่ปุ่นผู้คนส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบการเทรดแบบ Margin Trading ที่ใช้เงินของตนวางไว้เป็นหลักประกัน จากนั้นก็มีสิทธิ์เทรดได้หลายๆเท่าของเงินที่วางไว้ เช่น วางไว้ 1 ล้านบาท ก็สามารถเทรดได้ 10 ล้านบาทเป็นต้น ส่วนเจ้าของเว็บเทรดก็จะได้รับดอกเบี้ยที่เกิดจากกู้ยืมเงินจากการเทรดนั่นเอง ในเดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา พบว่าการซื้อขายเหรียญดิจิทัลที่เป็นเงินสดมีมูลค่า 0.777 ล้านล้านเยน แต่การซื้อขายโดยการวางหลักประกัน (Margin) กลับมีมูลค่าสูงถึง 8.42 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็น 11 เท่าของการเทรดแบบเงินสด นั่นหมายถึง ค่าดอกเบี้ยที่จะเป็นรายได้จำนวนมหาศาล
โมเดลธุรกิจข้อสุดท้ายที่ผมจะนำเสนอจะเป็นของ Robinhood Crypto เว็บเทรดแห่งนี้ใช้แนวความคิด “ไม่มีค่าธรรมเนียม” ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม? จึงมีผู้คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลกันเข้ามาซื้อขายเหรียญดิจิทัลกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะมันไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆนั่นเอง แล้วเจ้า Robinhood มันจะอยู่ได้อย่างไรกันล่ะ? Robinhood Financial ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งช่วงแรกก็เป็นเว็บเทรดหุ้น ออปชั่น โดยเสนอค่าธรรมเนียมราคาถูก หลังจากนั้นก็ไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆอีกเลย ส่วนรายได้ของ Robinhood ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยที่เกิดจากเงินสดและหลักทรัพย์ของลูกค้าที่วางไว้กับบริษัท และมาจากค่าธรรมเนียมของลูกค้าประเภท Premium Account Membership ซึ่งมีชื่อว่า Robinhood Gold เป็นต้น ทุกวันนี้ Robinhood มีลูกค้ามากกว่า 5 ล้านราย และทำให้เว็บเทรดออนไลน์ชื่อดังไม่ว่าจะเป็น Fidelity หรือ Schwab ต้องลดค่าธรรมเนียมลงไปแล้วไม่น้อยกว่า 40% ในขณะที่ Robinhood ยังคงมีรายได้ดี และเป็นผู้นำตลาด “ไม่มีค่าธรรมเนียม” อย่างแท้จริง
การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ และขอให้คุณผู้อ่าน...โชคดีในการลงทุน นะครับ
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com