เทรนด์ใหม่ของโลก: การลงทุนกับความยั่งยืน
การงดแจกถุงพลาสติกเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ดูแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทย
การพกถุงผ้าต้องเป็นกฎเกณฑ์ใหม่ในการใช้ชีวิตประจำวัน ตอกย้ำความชัดเจนที่มนุษย์โลกต้องตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความยั่งยืนของโลกมากขึ้น ปัจจุบันประชากรโลกมีจำนวน 8 พันล้านคน และคาดว่าจะเติบโตเป็น 1 หมื่นล้านคนในไม่ช้า ตามสถิติพบว่า ทุกๆปีประชากรโลกจะใช้ทรัพยากรเร็วกว่าที่โลกสามารถผลิตได้ถึง 1.7 เท่า เป็นเหตุให้โลกเองก็ส่งสัญญาณกับมนุษย์หนักขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นธารน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายเป็นปริมาตรสูงกว่า 2.5 พันล้านตันต่อปี ไปจนถึงฝุ่น PM 2.5 ในไทยที่จะไม่หายไปง่ายๆ ในอนาคตเราจะยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง หรือยิ่งใหญ่ไปถึงขั้นปฏิวัติอีกหลายอย่างเพื่อรักษาให้โลกของเราคงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีได้ในระยะยาว
แน่นอนว่าทุกการเปลี่ยนแปลงมีความเสี่ยง แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน โลกการลงทุนก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญนี้ เห็นได้จากบริษัทจัดการหลักทรัพย์ทั่วโลกที่พยายามเลือกลงทุนในบริษัทที่มีนโยบายและพร้อมปรับตัวเพื่อรักษาความยั่งยืนให้กับโลก โดยท่านนักลงทุนคงเคยได้ยินคำว่า “ESG” ที่ย่อมาจาก Environment, Social และ Governance ซึ่งจำกัดคำนิยามบริษัทที่มีธรรมาภิบาลหรือการกำกับดูแลที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม บริษัทเหล่านี้ที่เข้าใจเทรนของโลก และยอมปรับเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลาย่อมอยู่รอด รวมถึงจะสร้างกำไร และผลตอบแทนเหนือบริษัทอื่นๆได้ในระยะยาว สำหรับบริษัทที่ไม่ยอมตระหนักถึงผู้อื่นนอกจากตนเอง นอกจากจะถูกกดดันจากกฎหมายที่รัฐบาลหลายๆประเทศจะบังคับใช้เพื่อรักษาโลก ตัวผู้บริโภคเองก็จะไม่สนับสนุนบริษัทเหล่านี้ ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่การสื่อสารทำได้อย่างรวดเร็ว การแชร์โพสในเฟชบุ๊คเกี่ยวกับบริษัทที่สร้างความเสียหายให้กับโลกสามารถทำลายชื่อเสียงบริษัทได้อย่างง่าย และมากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เปรียบเทียบบริษัทยานยนต์อย่าง Volkswagen ในปี 2015 ที่กลายเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องการโกงค่ามลพิษให้ผ่านเกณฑ์ แต่ความจริงรถ Volkswagen ปล่อยก๊าซพิษไนโตรเจนสูงกว่าเกณฑ์ถึง 40 เท่า ส่งผลให้ราคาหุ้น Volkswagen ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วกว่า 46% แตะจุดต่ำสุดที่ราคา 92 ยูโร ในเวลาเพียง 1 เดือน ขณะที่บริษัท Tesla Motors ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ก่อตั้งในปี 2003 ช้ากว่า Volkswagen ถึง 66 ปี แต่ Tesla ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใครๆก็อยากครอบครอง แม้ว่าราคารถที่แพงกว่าทั่วไปแต่คุณจะสามารถประหยัดค่าน้ำมัน และช่วยโลกได้อีกด้วย มิหนำซ้ำ Tesla ยังมีชื่อเสียงอันดับต้นๆเรื่องเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งคาดว่าการพัฒนาของ Tesla จะยกขั้นอุตสาหกรรมยานยนต์อีกมากในอนาคต จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมราคาหุ้น Tesla ปัจจุบันสูงกว่าตอนเข้าตลาดครั้งแรกถึง 25 เท่า เทียบกับหุ้น Volkswagen ที่ปัจจุบันราคายังไม่เคยปรับตัวสูงขึ้นใกล้เคียงราคาก่อนเกิดข่าวฉาวเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น คำว่า “Sustainability” หรือความยั่งยืนจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในโลกการลงทุนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย บริษัทจัดการหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก เช่น Lombard Odier, UBS, Morgan Stanley, BlackRock และ Allianz ก็มีการปรับขอบเขตหลักทรัพย์ในการลงทุนของทุกกองทุนภายใต้การจัดการและบริหารให้เป็นบริษัทที่มีนโยบายสอดคล้องกับความยั่งยืนของโลกเท่านั้น ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2019 ตลาดทุนโลกมีการลงทุนในบริษัทที่มีนโยบายเพื่อความยั่งยืนแล้วมากกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ