Covid-19 จะจบลงอย่างไร
มูลค่าตลาดหลักทรัพย์อเมริกาหายไป 2 ล้านล้านเหรียญ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Dow Jones Industrial Average ร่วงลงกว่า 10%
จาก 29,348 จุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ลดลงมาถึง 25,766 จุด ใน วันที่ 27 กุมภาพันธ์
ความเสียหายจากสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนตลอดสามปีที่ผ่านมายังเทียบไม่ได้กับโรคระบาดครั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนกลัวที่สุด คือความไม่แน่นอน และจากการที่นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับสูงที่มีความรู้และมีข้อมูลน่าเชื่อถือได้ ออกแถลงการณ์เตือนให้ประชาชนอเมริกันรีบเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ของ"โรคระบาดร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่" ขณะเดียวกันผู้นำทางการเมืองก็พยายามปลอบใจและสร้างความมั่นใจโดยใช้คำพูดแบบกว้างๆว่า "อยากกังวลเกินเหตุเพราะยังไม่เลวร้ายและมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้"
ความขัดแย้งในความเห็นของมืออาชีพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และนักการเมืองทำให้เกิดความสับสนและผู้ลงทุนขาดความมั่นใจในตลาดการลงทุน
ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ความสำเร็จของตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งเชิญชวนให้ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อขออยู่ในตำแหน่งต่ออีกหนึ่งเทอม(สี่ปี) มาถึงวันนี้ปัญหาของโรคระบาดไวรัสใหม่ทำให้ตลาดหุ้นสะเทือน จึงกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ฝันสลายหากตลาดไม่ฟื้นภายในเวลาอันสั้น
Covid-19 ซึ่งระบาดไปแล้วถึงกว่า 48 ประเทศ นับวันเริ่ม ขยายวงกว้างจนน่าวิตก จากเดิมทั่วโลกจับตาดูจีนซึ่งใช้มาตรการเฉียบขาดและรุนแรง เช่นกักกันบริเวณประชากรเป็นจำนวนมาก การปฎิบัติดูเหมือนว่าจะเริ่มส่งผลให้สถานการณ์อยู่ตัว คือจำนวนผู้รับเชื้อและเจ็บป่วยรวมทั้งเสียชีวิตนั้นอยู่ในปริมาณที่พอจะรับมือได้
ผู้นำภาครัฐของจีนอาศัยความเริ่มอยู่ตัวของสถานการณ์ ผลักดันให้ธุรกิจต่างๆพยายามกลับมาเปิดกิจการ(แม้บางส่วน) เพื่อให้เศรษฐกิจรีบกลับมาเป็นปกติอย่างเร็วที่สุด และผู้นำด้านเศรษฐกิจและการคลังของจีน กำลังจัดการหาวิธีอุ้มชูประคับประคองธุรกิจใหญ่น้อยทุกระดับให้พอเอาตัวรอดไปได้ โดยการช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้สิน และอัดฉีดทรัพยากรตามความจำเป็น
ขณะเดียวกัน ทางอเมริกาก็เริ่มเตรียมตัวที่จะผลักดันมาตรการหลายอย่างมาเสริมความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุน รวมทั้งสิ่งที่คาดว่าจะต้องทำแน่นอน คือการกระตุ้นความคล่องตัวในเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย
สาเหตุที่ไวรัสใหม่ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ(และเกี่ยวพันถึงเศรษฐกิจโลก) ถึงขนาดนี้ เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบในอดีตและปัจจุบันแล้ว จะเห็นได้ว่า ไวรัส SARS ในปี ค.ศ. 2003 มีความรุนแรงมากเช่นกัน แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจยุคนั้น ไม่เสียหายมากเท่าปัจจุบัน การเจ็บป่วยและเสียชีวิตเกิดขึ้นจำกัดในภูมิภาคจีนและใกล้เคียง แต่ไม่ได้กระทบไปถึงตะวันตกเพราะการเดินทางข้ามประเทศน้อยกว่าปัจจุบัน และสมัยนั้น จีนไม่ได้มีบทบาทในการเป็น supply chain ของโลก เหมือนเช่นในปัจจุบัน ซึ่งได้โตขึ้นมาถึงสี่เท่า ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือประชาชนชาวจีนเพิ่มการบริโภคสินค้าและการบริการจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่าเช่นกัน การท่องเที่ยวในต่างประเทศของชาวจีนซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
Apple แถลงข่าวเตือนว่ายอดขายในจีนจะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง (ซึ่งจีนเป็นตลาดที่สำคัญถึง 15%) และการผลิตโทรศัพท์มือถือและสินค้าอื่นแทบทุกชนิด รวมทั้งบริษัทที่อยู่ในวงจรของการผลิต เช่น ไมโครชิป (microchips) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน จะมีปัญหาในการป้อนตลาดทั่วโลกโดยเฉพาะในอเมริกา
บริษัทใหญ่ต่างๆอีกหลายอุตสาหกรรมก็ประเมินว่า การปิดโรงงานของจีน จะกระทบกระบวนการทั้งวงจร ยกตัวอย่างเช่น วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้ในวงการแพทย์ อาหารและวิทยาศาสตร์ต่างๆซึ่งอเมริกาหันมาพึ่งจีนในทศวรรษที่ผ่านมาในอัตราที่ไม่สามารถจะปรับตัวได้ทัน (940 บริษัทจาก 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ในลิสต์ของ Fortune 1000 พึ่งสินค้าหลักที่ผลิตและส่งออกจากจีน)
ผลกระทบในภูมิภาคอื่นทั่วโลกเป็นข่าวที่เราเห็นกันมาก จนทำให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มเติมรายวัน และมีการลังเลในการตัดสินใจเดินทางระหว่างประเทศ และการชุมนุมสัมมนา ติดต่อค้าขายนานาชาติอย่างที่เป็นมาโดยต่อเนื่อง การถดถอยของเศรษฐกิจโลกจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อปัญหาเรื่องไวรัสครั้งนี้จบลง หรืออย่างน้อยอยู่ในความควบคุมแบบผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือวงจำกัดคล้ายกับไวรัสรุ่นก่อนนี้ เช่น Swine flu และ Ebola
ผู้เชี่ยวชาญหลายสถาบันที่ผ่านประสบการณ์โรคระบาดร้ายแรง ให้ความเห็นว่า เรามีความหวังที่จะควบคุมสถานการณ์ให้เข้าที่หรือจบลงดังต่อไปนี้
- หาสาเหตุและต้นตอของผู้ที่ติดเชื้อและเป็นพาหะของไวรัส ควบคุมผู้ป่วยให้อยู่ห่างจากประชาชนส่วนใหญ่เพื่อลดการกระจาย (นี่คือมาตรการที่หยุดยั้งการขยายของSARS-2003)
- วิจัยและผลิตวัคซีน หรือ antiviral ให้เร็วที่สุดซึ่งผู้เชี่ยวชาญฯบอกว่าต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่ง (CDC&WHO) ขณะเดียวกันมีบริษัทวิจัยทางการแพทย์ของเอกชนหลายประเทศ กำลังรีบเร่งผลิตออกมา เพื่อเป็นการบุกและครองตลาด บางบริษัทอ้างว่า จะสามารถทำได้ภายในปีนี้
- เมื่ออากาศอุ่นขึ้น การแพร่ของไวรัสนี้จะลดลงเพราะไวรัส coronavirus ประเภทนี้เติบโตในอากาศที่เย็นและแห้ง แต่อีกไม่กี่สัปดาห์เมื่อมีอากาศร้อนและชื้นการแพร่ของไวรัสก็จะชะลอลงโดยธรรมชาติ
- ไวรัสเปรียบเสมือนเปลวไฟ และบุคคลที่เป็นพาหะเปรียบเสมือนเชื้อเพลิง เมื่อเชื้อเพลิงหมดไฟก็ดับลงไปเอง เพราะฉะนั้นหากเรามองย้อนกลับไปดูโรคระบาดทั้งหลายในอดีตจะเห็นได้ว่าถึงแม้ไม่มีวัคซีนหรือยาที่มารักษาได้แต่การบรรเทาจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่เปลี่ยนไปเช่นความร้อนชื้นและควบคู่กับพฤติกรรมของมนุษย์ที่ดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเพิ่มขึ้นและความตื่นตัวของสังคมมีมากขึ้น
ทุกวิกฤติเปิดโอกาสให้เราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลและสังคม อีกไม่นานเรื่องนี้จะกลายเป็นเพียงแค่อดีต แต่เราต้องไม่พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้เพื่อป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขอเชิญชวนให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะบริษัทมหาชนใช้โอกาสนี้เป็นการตอบแทนบุญคุณของลูกค้า โดยเฉพาะบริษัทร้านขายสะดวกซื้อต่างๆควรรีบปรับปรุงเรื่องสุขอนามัย เปิดบริการห้องน้ำ และอ่างล้างมือ ฯลฯ เราทุกคนเป็นสมาชิกของสังคมอยู่ร่วมกัน หากคนใดคนหนึ่งป่วย เราทุกคนก็มีความเสี่ยงด้วย เพราะฉะนั้นควรใช้โอกาสครั้งนี้เปลี่ยนนโยบายเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีคุณธรรม และรักษาความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจโดยส่วนรวมครับ