กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ดาวเด่นท่ามกลางวิกฤติ
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ นักลงทุนมักจะได้รับคำแนะนำให้ปรับการลงทุนไปเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
เช่น อาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ซึ่งในช่วงนี้ทั่วโลกต่างประสบวิกฤตจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักจากมาตรการล็อกดาวน์และการเว้นระยะห่างทางสังคม สินค้าที่จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเติบโตได้อย่างดีในหลายประเทศ และหุ้นที่มีความเกี่ยวเนื่องรวมถึงกองทุนที่มีการลงทุนให้กลุ่มดังกล่าวต่างให้ผลตอบแทนดีตามคาด
อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นอีกหนึ่งกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในตลาดโลก ซึ่งได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนี MSCI สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก (MSCI AC World Information Technology Index) ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงสิ้นเดือนเมษายนให้ผลตอบแทน 5.50% สำหรับในช่วง 1 ปีล่าสุดถึงสิ้นเดือนเมษายนให้ผลตอบแทน 15.37% และในช่วง 3 ปีล่าสุดให้ผลตอบแทนรวม 54.28%
ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตอย่างมาก นอกจากที่พวกเราทราบกันดีว่าในช่วงวิกฤตนี้ มีการใช้เทคโนโลยีในหลายๆด้าน เช่น ใช้ในการทำงานจากที่บ้าน ใช้ในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้ในการสั่งอาหาร และใช้เพื่อการบันเทิง แต่จริงๆแล้ว เทคโนโลยีอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในส่วนของสินค้าไฮเทคที่เราคุ้นเคยเท่านั้น เทคโนโลยียังเกี่ยวข้องกับในหลายๆด้าน เช่น เทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีด้านพลังงาน เทคโนโลยีด้านอาหาร เทคโนโลยีด้านการผลิต เทคโนโลยีทางการเกษตร เป็นต้น
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากมีการพัฒนาอินเตอร์เนทและสมาร์ทโฟน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายอุตสาหกรรม และส่งผลให้สินค้าบางอย่างหายไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สมาร์ทโฟนได้เข้ามาแทนที่สินค้าหลายประเภท (ถึงแม้ยังไม่สามารถทดแทนสินค้าบางอย่างได้สมบูรณ์) เช่น วิทยุพกพา กล้องถ่ายรูป แผนที่ เครื่องคิดเลข ดิกชันนารี โทรศัพท์บ้าน ฯลฯ รวมถึงยังสามารถใช้งานด้านอื่นได้อีกมากมายตามแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งไว้ เช่น ใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน ใช้สั่งซื้อสินค้า ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆจากระยะไกล เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เพียงแค่สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย และยังคงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปได้อีกมาก
สำหรับเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ เช่น หุ่นยนต์และกล้องที่ใช้ในการผ่าตัดโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ การใช้โดรนทางการเกษตรและสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การใช้หุ่นยนต์ในการผลิตทดแทนแรงงานคน เสื้อผ้าและของใช้ที่ใช้นาโนเทคโนโลยี การใช้ระบบเอไอและบิ๊กดาต้า การใช้ CG ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโฆษณา โทรทัศน์ระบบแอนดรอยด์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย เป็นต้น
จากตัวอย่างดังกล่าวคงพอจะทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า เทคโนโลยีอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา จนบางครั้งเราลืมไปว่าของที่เรากำลังอุปโภคบริโภคอยู่เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากเทคโนโลยี และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วถึงแม้ทั่วโลกยังตกอยู่ภายใต้วิกฤตไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
สำหรับปัจจัยที่จะช่วยหนุนให้เทคโนโลยีเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งน่าจะเป็นการเข้าสู่ยุค 5 จี ซึ่งจะทำให้การติดต่อสื่อสารและการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆเป็นแบบเรียลไทม์ และนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆหลายๆด้าน ตัวอย่างเช่น แพทย์สามารถทำการผ่าตัดคนไข้ที่เชียงใหม่จากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯได้ ซึ่งแตกต่างจากระบบ 4 จีที่อาจมีการดีเลย์เล็กน้อย ผู้ผลิตสามารถควบคุมให้หุ่นยนต์ที่โรงงานที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศให้ทำการผลิตสินค้าได้ตามต้องการจากการสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน รถยนต์ไร้คนขับสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการที่เครือข่ายมีการเชื่อมโยงสมบูรณ์มากขึ้น
จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในหลายๆด้าน ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ทั้งนี้ กองทุนของไทยที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีหลากหลาย และมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกแบบไม่จำกัดประเภทของเทคโนโลยี กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มไบโอเทคโนโลยีทั่วโลก กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหุ่นยนต์ กองทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มหุ้นอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอาจมีความแตกต่างในแง่ของการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ได้แก่ มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบางส่วน และไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
สำหรับท่านที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีควรศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียด เพราะจัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเพียงกลุ่มเดียว (หรือจำกัดการลงทุนในหุ้นน้อยกลุ่มสำหรับกรณีที่เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอื่นๆ) รวมถึงอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และอาจมีการลงทุนกระจุกอยู่ในบางประเทศ นักลงทุนควรขอคำปรึกษาจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ