ลงทุนอะไรดี ถ้ามีเงินเย็นๆ
สภาพเศรษฐกิจการเงินการค้าในปีนี้ ทำให้คนที่พอมีเงินออมเงินลงทุน กระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด คนที่เคยออมแบบสบายใจ
เหลียวหน้าไปมา มีเพียงทองคำเท่านั้น ที่ในปีนี้ สามารถสร้างผลกำไรเบิ้มๆ 30% แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็ไม่ทันได้ซื้อเอาไว้ก่อนที่จะขึ้นมา ครั้นจะซื้อตอนนี้ ก็เห็นเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงเเถว 28,000 ถึง 29,000 ผมคิดว่า คนอยากซื้อก็ไม่ค่อยกล้าเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมั่นใจ โดดเข้าใส่ ตอนกำลังวิ่งขึ้นไปแบบต่อเนื่องมากกว่า
วันนี้ทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ขอให้ข้อคิดมุมวิเคราะห์เพิ่มเติมแก่ท่านผู้มีเงินเย็นประกอบการตัดสินใจกับเงินลงทุน ดังนี้ครับ
ต.ค.-พ.ย. 63 นี้มีเรื่องใหญ่ๆ ให้ต้องจับตาว่าจะออกทางบวกหรือลบต่อการลงทุน เช่น
• ความคืบหน้าหรือไม่คืบหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ม็อบกำลังจะมาทวง หุ้นไทยน่าจะขยับลงบ้าง
• การระบาดของโควิดทั่วโลก ตัวเลขรายวันขยับขึ้นเป็นวันละ 3 แสนคน ในขณะที่ไทยอาจต้องเริ่มแง้มประตูรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อบรรเทาผลลบที่มีต่อภาคท่องเที่ยว การระบาดในไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
• การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหากไบเดนชนะ อาจมีผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ จากมาตรการขึ้นภาษีนิติบุคคล โอกาสนี้ คงเป็นของทองคำที่จะขึ้นได้ ยามหุ้นโลกไม่ค่อยดี
• GDPไตรมาส 3 และ งบการเงินไตรมาส 3 ของหุ้นไทยจะประกาศในเดือนพ.ย. ซึ่งคงจะออกมาต่ำกว่าปีก่อนทั้งคู่ ไม่น่าจะเป็นข่าวดีกับหุ้นครับ
• หากหุ้นยังไม่ฟื้นตัวในต.ค.-พ.ย. เสียก่อน ผมคิดว่า ธ.ค.น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เป็นไปได้ ในการฟื้นขึ้นไปบ้าง เนื่องจากผ่านปัจจัยลบต.ค.-พ.ย.ไปจนพอแล้ว และมาตรการช้อปดีมีคืนของรัฐบาล ให้มีวงเงินซื้อเพื่อลดหย่อนรายได้ก่อนภาษีคนละ 30,000 บาท มีผลสิ้นสุดในเดือนธ.ค. ซึ่งรัฐคาดว่าจะมีเม็ดเงินรวมตลอด 2 เดือนประมาณกว่าแสนล้านบาท ผมคาดว่า การจับจ่ายใช้สอยของผู้คน คงต้องเร่งหนักหน่อยในเดือนธ.ค. บรรยากาศการค้าคงดูดีขึ้นบ้างเสริมบรรยากาศตลาดหุ้นได้พอสมควร
• สำหรับคนที่มีเงินเย็น ที่แม้จะไม่มีความจำเป็นรีบใช้ก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยใหญ่ที่มีความไม่แน่นอนจำนวนมาก ผมคิดว่า ยังควรต้องยอมฝากเงินหรือออมในกองทุนพันธบัตร ได้ดอกเบี้ยน้อยๆ เป็นหลักไปก่อนประมาณ 55-60%
• ทองคำ แม้มีราคาไม่แน่นอน ขณะนี้ราคาต่ำกว่า 28,000 บาท แต่ในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และการมีปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศ ทองคำเป็นสิ่งรองรับความเสี่ยงทั้งมวลที่หากเกิดขึ้น ผมยังแนะนำให้มีอยู่ 15% เท่ากับที่แนะนำไว้เมื่อมิ.ย.2563
• หุ้นและหรือกองทุนหุ้น เดิมผมแนะนำให้มีหุ้นไทย 15% และกองหุ้นต่างประเทศ 10% ไว้ เมื่อ มิ.ย.2563 ขณะนี้หุ้นไทยลงมาพอสมควร หากช่วงกลางต.ค-พ.ย.นี้ SET Index ลดลงไปอยู่ที่ 1,250-1,200 จุด ก็เป็นจุดที่แนะให้น้ำหนักหุ้นไทยเพิ่มเป็น 20% เพื่อรอการฟื้นตัวช่วงปลายปีหรือปี64
• หากซื้อหุ้นรายตัว มีความเสี่ยงมากกว่าซื้อกองทุนหุ้น ดังนั้นหากไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญการลงทุน ผมแนะนำให้ใช้ลงทุนกองทุนรวม มีทั้งกองทุน SET50 หรือกองทุนที่เลือกเฟ้นหุ้นใน Theme ต่างๆ ให้เลือก มีค่าบริหารบ้าง
• หากอยากซื้อเป็นรายตัว แนะนำให้เข้าดูข้อมูลที่สมาคมนักวิเคราะห์ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ไว้ให้ดูฟรีกว่า 250 หุ้น อยู่ในเว็บไซต์ของ settrade.com ทาง Link นี้ครับ https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus
• หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน มีทั้งหุ้นธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หุ้นธนาคาร เป็นต้น
• ท้ายนี้ เชิญชวนอบรมวิชากับสมาคมฯ เรื่อง เทคนิคการร่วมงาน IR กับนักวิเคราะห์ 21 ต.ค., การวิเคราะห์งบวันที่ 31 ต.ค. หัวเรื่องละ 800 บาท โทร 02-009-9292 ต่อ 3716
พบกันอีกทีเดือนพ.ย.ครับ