เวที COP26 กับจุดยืนของไทยเพื่อก้าวต่อไป สู่เป้า Net Zero | ภาตรี วิฑูรชาติ
Net Zero เป็นประเด็นใหญ่ที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก โดยในวันที่ 31 ตุลาคม นี้ ผู้นำจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก จะมารวมตัวกันที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เพื่อร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “COP 26”
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติน้ำแล้ง พายุ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องทำหน้าที่ของตน โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า “Net Zero Emission” โดยเร็วที่สุด
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “COP 26” จุดประสงค์หลักของการประชุมในปีนี้ คือ การให้แต่ละประเทศเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุ Net Zero ทั่วโลกภายในปี ค.ศ. 2050 โดยเป้าหมาย Net Zero ดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศไทย (ร่าง) ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทยซึ่งจัดทำ โดย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า หากประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายตามที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้กำหนดไว้ คือ รักษาอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะต้องบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 และหากจะรักษาอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะต้องบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2090
ภาครัฐและภาคเอกชนได้เริ่มให้ความสำคัญกับเป้าหมายนี้แล้ว โดยภาคพลังงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด (71.65% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ) เป็นภาคส่วนแรกที่แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อเป้าหมายดังกล่าว โดยกำหนดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ภายในปี ค.ศ. 2065-2070 ในกรอบแผนพลังงานชาติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีที่จะนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในระดับประเทศ
กรอบแผนพลังงานชาติได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดและรับฟังความคิดเห็น โดยแผนพลังงานชาติมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ.2065-2070 โดยเน้นภาคการไฟฟ้าและขนส่งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด
ภาคการผลิตไฟฟ้าจะมีมาตรการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นให้ไม่น้อยกว่า 50% โดยสนับสนุนทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ก๊าซชีวภาพ โซลาร์ฟาร์ม และขยะ
สำหรับภาคขนส่งจะมีมาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนื่องมาจากฝุ่นละออง PM 2.5
จุดเด่นของแผนพลังงานชาติ คือ เป้าหมายการเปลี่ยนแหล่งที่มาของพลังงาน จากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นส่วนใหญ่ให้พึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังมีผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit) อีกหลายประการ เช่น การลดมลภาวะทางอากาศที่เป็นเหตุให้ในแต่ละปี มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 5 หมื่นคนและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจนับแสนล้านบาทตลอดจนช่วยสร้าง “งานสีเขียว” (Green Jobs) หรืองานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า
การประชุมระดับโลก COP 26 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยยังคงตามหลังหลายประเทศในด้านการตั้งเป้าหมายและดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้น ในปัจจุบันมี 63 ประเทศที่ได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นทางการ
ในจำนวนนี้รวมประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น สปป. ลาว และสิงคโปร์ โดย สปป. ลาว ได้ประกาศคำมั่นสัญญาทางการเมือง (Political Pledge) เรื่อง Net Zero และประเทศสิงคโปร์มีการบูรณาการแนวทาง Net Zero ไว้ในนโยบายระดับชาติแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังคงไม่มีการประกาศนโยบายหรือเป้าหมาย Net Zero ครอบคลุมทุกภาคส่วน มีเพียงกรอบแผนพลังงานชาติที่ตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมที่สุด
การมีแผนพลังงานชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญสำหรับประเทศ แต่ประเทศไทยจะก้าวไปถึงเป้าหมาย Net Zero ได้ ต้องอาศัยแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก จึงมีความรับผิดชอบต้องแก้ไขปัญหาร่วมกับประเทศอื่นๆ เวที COP 26 จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลไทยได้แสดงจุดยืน ประกาศความก้าวหน้าของไทยต่อประชาคมโลก ความก้าวหน้าของประเทศจึงไม่ควรหยุดอยู่ที่ภาคพลังงาน รัฐบาลควรกำหนดนโยบายหรือเป้าหมาย Net Zero ระดับชาติอย่างเป็นทางการครอบคลุมทุกภาคส่วน นอกจากจะทำให้ไทยก้าวทัน ทัดเทียมกับนานาชาติแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณต่อทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชน ซึ่งคือส่วนหนึ่งของพลเมืองโลกให้เข้ามามีส่วนผลักดันวาระนี้ร่วมกัน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CASE) ซึ่งเป็นโครงการดำเนินการโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และองค์กรเชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ และความปลอดภัยทางปรมาณู สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMU) เพื่อผลักดันนโยบายเปลี่ยนผ่านพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.