สงครามล้มล้างประชาธิปไตยในสหรัฐ | ไสว บุญมา
วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมาเป็นวาระครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์อันน่าอดสูยิ่งในสหรัฐเมื่อชาวอเมริกันจำนวนมาก ใช้กำลังทะลวงแนวตำรวจรักษาความปลอดภัยเข้าไปทุบประตูหน้าต่างตึกรัฐสภา แล้วบุกเข้าไปเพื่อขัดขวางการทำงานรัฐสภา
ขณะที่รัฐสภาสหรัฐกำลังทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ โดยกำลังอยู่ในระหว่างพิธีประกาศรับผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่า ผู้ท้าชิงโจ ไบเดน ชนะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการลงคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2563
การบุกเข้าไปนั้นทำให้ทั้งฝ่ายบุกและฝ่ายรักษาความปลอดภัยบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง แต่ขัดขวางรัฐสภาไม่สำเร็จเนื่องจากหลังผู้บุกถูกขับไล่ออกไป รัฐสภากลับมาประชุมต่อในตอนกลางคืนจนเสร็จพิธี
ผู้บุกเข้าไปในรัฐสภาได้รับการชักนำจากนายทรัมป์และพรรคพวกซึ่งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งโดยอ้างว่าถูกโกง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันและศาลทุกแห่งที่รับฟังข้อกล่าวหาลงความเห็นว่านายทรัมป์แพ้แน่นอน
ยิ่งกว่านั้น อดีตประธานาธิบดีอเมริกันซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทั้ง 4 คนต่างออกมายืนยันตรงกันว่าการเลือกตั้งเป็นไปตามกฎเกณฑ์และนายไบเดนชนะอย่างขาวสะอาด
อดีตประธานาธิบดีทั้ง 4 คนนั้นมาจากทั้งพรรคการเมืองของนายทรัมป์และของนายไบเดน กระบวนการบุกเข้าไปในรัฐสภาจึงเป็นเสมือนความพยายามทำรัฐประหารของนายทรัมป์
เขาทำไม่สำเร็จเพราะรองประธานาธิบดีผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐสภาเพื่อรับรองการเลือกตั้งไม่ยอมทำตามความประสงค์ของเขา หากรองประธานาธิบดียอมละเมิดกฎหมายเพื่อเอาใจนายทรัมป์ซึ่งจะทำให้ตนอยู่ในตำแหน่งต่อไปด้วย สงครามกลางเมืองแบบนองเลือดอย่างกว้างขวางอาจยังไม่จบ
หลังเหตุการณ์ผ่านมา 1 ปี แทนที่ฝ่ายนายทรัมป์จะยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น กิจกรรมที่พวกเขาทำกลับชี้บ่งไปในทางตรงข้ามรวมทั้งความพยายามจำกัดสิทธิ์ออกเสียงของผู้ที่ไม่มีผิวสีขาว และพวกเขาจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งใด ๆ หากฝ่ายเขาแพ้
จุดยืนและกิจกรรมที่พวกเขาทำ จึงมีค่าเท่ากับความพยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐใช้มาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ
ในวาระครบรอบปีของวันที่ 6 ม.ค. อดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ซึ่งอาวุโสที่สุดในบรรดาอดีตประธานาธิบดี 4 คน (ขณะนี้เขาอายุ 97 ปี) จึงเขียนบทวิพากษ์กระบวนการล้มล้างนั้นพร้อมข้อเสนอให้ชาวอเมริกันทำเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยลงในนสพ. นิวยอร์กไทมส์ ในวาระเดียวกัน อดีตรองประธานาธิบดีดิกค์ เชนนี่ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกับนายทรัปม์และขณะนี้มีลูกสาวเป็นผู้แทนราษฎรจากพรรคนั้นด้วยก็ออกมาประณามกิจกรรมของพวกนายทรัมป์อย่างเผ็ดร้อน
ตามปกติ อดีตประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอเมริกันจะไม่ออกมาแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอย่างออกหน้าออกตา การที่พวกเขาออกมาดังที่อ้างถึงจึงชี้ชัดว่า ระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐตกอยู่ในภาวะวิกฤติร้ายแรงถึงขั้นอาจถูกล้มล้างได้แน่นอน เพื่อรักษาระบอบนั้นไว้ นายคาร์เตอร์เสนอให้ตรวจสอบและแก้ไขกฎเกณฑ์การใช้ข่าวสารข้อมูลเท็จซึ่งค่ายของนายทรัมป์ทำกันอย่างกว้างขวางและเข้มข้น ในสมัยโลกไร้พรมแดน การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลเท็จทำได้ง่ายมากเนื่องจากมีสื่อรับใช้ที่ไร้จรรยาบรรณและประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้เพื่อใช้ติดตามและเผยแพร่ข่าวสารเอง
ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันแตกแยกกันแบบไม่เคยมีมาก่อน ยกเว้นในกรณีที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองอันเนื่องมาจากเรื่องการเลิกทาส ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากคาดกันว่ามันจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซึ่งหากฝ่ายนายทรัมป์ชนะ ระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐจะถูกล้มล้าง
เป็นที่ประจักษ์ว่า ผู้สังเกตการณ์เหล่านั้นใช้นิยามสงครามกลางเมืองแบบเดิม นั่นคือ มีการนำอาวุธจำพวกปืนออกมาฆ่ากัน
แต่ในสมัยที่เทคโนโลยีมีอานุภาพสูงจนทำให้เกิดสภาพไร้พรมแดนนี้ อาจมองได้ว่าสงครามกลางเมืองในสหรัฐดำเนินมากว่าปีแล้ว แต่ยังไม่เป็นแบบนำอาวุธปืนออกมาไล่ฆ่ากัน หากใช้ระบบอินเทอร์เน็ตแทนอาวุธปืนและข่าวสารข้อมูลแทนลูกปืน
ฝ่ายที่ใช้ข่าวสารข้อมูลเท็จเป็นลูกปืน ได้แก่ พวกไร้จรรยาบรรณซึ่งทำให้คำสาปของเทคโนโลยีมีพลังออกมาไล่ล่าชาวอเมริกันอย่างเข้มข้น เป็นไปได้ว่า ผลของการไล่ล่านี้จะเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐ.