จะปฏิรูปการเมืองได้ต้องสร้างประชาชนให้เข้มแข็ง | วิทยากร เชียงกูล
ปัญหานักการเมืองส่วนใหญ่คุณภาพต่ำ มาจากการที่ระบบการเมืองสังคมไทย ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน ได้รับการศึกษา การรับรู้ข้อมูลข่าวเมืองต่ำ/ด้อยคุณภาพ
คนที่มีความรู้/เตือนตัว ต้องช่วยประชาชนคนอื่นๆ ให้ฉลาดทางการเมืองเพิ่มขึ้น ถ้าประชาชนฉลาดขึ้น จัดตั้งกลุ่ม/ได้เข้มแข็งขึ้น ประชาชนจะต่อรองเรียกร้องให้นักการเมืองต้องทำเพื่อส่วนรวมมากขึ้น
ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเป็นประชาธิปไตยบางส่วนที่เน้นใช้เฉพาะตัวรูปแบบ เช่น การเลือกตั้งผู้แทน ให้พรรคที่รวมเสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีที่คดงออย่างไรก็ได้ ในสังคมไทยจึงกลายเป็นระบบรัฐบาลเผด็จการเสียง ส.ส. ข้างมาก
ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องพัฒนา “เนื้อหาสาระ” เช่น ให้ประชาชนมีแนวคิดที่แบบประชาธิปไตย ต้องให้การศึกษาตั้งแต่ระดับสมาชิกในครอบครัว สถานศึกษา ที่ทำงาน ชุมชน ทำให้ประชาชนเกิดความรู้/ตระหนักว่า เราเป็นพลเมืองผู้เสียภาษีและเป็นเจ้าของประเทศ มีสิทธิ์ความเสมอภาคและเสรีภาพ ในทางเศรษฐกิจและสังคมหลายด้านด้วย ไม่ใช่มีสิทธิแค่การเลือกตั้งส.ส. นานๆ ครั้ง เท่านั้น
การปฏิวัติ 2475 และการเรียกร้องประชาธิปไตย 14 ตุลาคม 2516 ช่วยผลักดันให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นจากยุคก่อนหน้านั้นได้ในระดับหนึ่ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกพวกอภิสิทธิ์ชน คนรวย คนชั้นกลาง เข้ามายึดอำนาจรัฐและปกครองเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขามากกว่าที่จะแบ่งปันให้คนส่วนใหญ่
เราจำเป็นต้องปฏิรูปการศึกษาในเชิงคุณภาพ ปฏิรูปเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก การสอนค่านิยมที่เน้นส่วนรวมให้กับเด็ก ปฏิรูปให้คนไทยมีความรู้ชนิดที่จะรู้จักคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล สังเกต ทดลอง หาข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อยืนยันความถูกต้องอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (วิชาการ)
เป็นพลเมืองที่มีความสนใจและเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของปัจเจกชน และความสำคัญของการร่วมมือกันทำตามเสียงส่วนใหญ่ที่มีเหตุผล เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เรื่องทั้งหมดนี้สำคัญยิ่งกว่าเรื่องการจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. นานๆ ครั้ง
การเลือกตั้งส.ส. เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในสภาพที่ระบบเศรษฐกิจยังคงเป็นทุนนิยมผูกขาดโดยนานทุนใหญ่ การเลือกตั้งส.ส. เป็นเพียงแค่การเลือกตัวแทนของนายทุนกลุ่มใหม่เท่านั้น
การพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของไทยเอื้อประโยชน์คนรวย คนชั้นกลาง มากกว่าคนส่วนใหญ่ สร้างปัญหาความขัดแย้งและความแตกต่างระหว่างประชาชนชนชั้น/กลุ่มต่างๆ มากขึ้นตามลำดับ
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลทหารก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะโครงสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองของไทยรวมศูนย์ผูกขาดอยู่ในมือเจ้าของที่ดิน นายทุน ข้าราชการระดับสูง มาตลอด
รัฐบาลไทยหลายชุดอ้างเรื่องว่าจะต้องปฏิรูปประเทศ แต่พวกเขาแค่ปฏิสังขรณ์ปะผุการปฏิรูปจริงๆ ต้องเก็บภาษีคนรวยในอัตราสูงขึ้น กระจายทรัพย์สิน รายได้ โอกาสทางการศึกษา และอื่นๆ ไปสู่ประชาชนอย่างเป็นธรรมมากขึ้น
ปัญหาใหญ่ข้อต่อมาคือ คนส่วนใหญ่ยังยากจนทางด้านความรู้ความคิดอ่าน และถูกครอบงำโดยชนชั้นสูงให้คนศรัทธาสถาบันสังคมแบบจารีตด้วย
ประชาชนในอเมริกาและยุโรปในยุคปฏิวัติประชาธิปไตยในคริสศตวรรษที่ 18 มีโอกาสได้เรียนรู้จากการฟัง การอ่าน และการมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของพวกตน
เช่น จัดตั้งสหภาพแรงงาน สมาคมชาวนาชาวไร่ กลุ่มอาชีพต่างๆ มากกว่า ประเทศเหล่านั้นพัฒนาประชาธิปไตยทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้มากกว่าไทย
แม้ไทยจะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมและเทคโนโลยีมากขึ้น มีคนชั้นกลางและคนงานที่มีโอกาสได้รับข่าวสารจากโลกสมัยใหม่มากขึ้น เช่น มีโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต รับข้อมูลข่าวสารได้เพิ่มขึ้น
แต่คนไทยจำนวนมากที่ได้รับการศึกษา และซึมซับวัฒนธรรมแบบจารีตนิยมยังคงมีความคิดความเชื่อแบบจารีตนิยม อุปถัมภ์นิยม ประชานิยม (ประชารัฐ) คิดแบบ 2 ขั้วสุดโต่ง เลือกข้าง เชียร์ข้างพรรค/กลุ่มของชนชั้นนำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยศรัทธา อารมณ์ อคติ ความงมงาย มากกว่าจะคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และมีความคิดแบบเสรีประชาธิปไตยที่ใจกว้าง
การปฏิรูปประเทศได้อย่างแท้จริง อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงจากล่างขึ้นบน คือต้องปฏิรูปภาคประชาชนจำนวนมากให้ฉลาดเข้มแข็งแบบเน้นการพึ่งตนเองในทางการเมืองให้ได้จำนวนมากพอสมควรก่อน คนที่รู้ปัญหา/ตื่นตัว ต้องช่วยกันหาวิธีทำให้คนไทยคนอื่นเปลี่ยนแปลงวิธีคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ (แบบวิทยาศาสตร์)
สนใจอ่านหนังสือ ค้นคว้า คุยกัน ถกกันเรื่องชีวิต สังคม การเมือง วัฒนธรรม สนใจใฝ่รู้คิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลให้มากขึ้น และรู้จักการจัดตั้งองค์กร กลุ่มอาชีพ สมาคม สหภาพแรงงาน สหกรณ์ ฯลฯ ให้เข้มแข็งแพร่หลาย ประชาชนไทยจึงจะมีอำนาจต่อรองกับชนชั้นนำได้มากขึ้น
เราต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงวิธีการเลี้ยงดูเด็กและระบบการสอน การเรียนในโรงเรียน จากแบบผู้ใหญ่ใช้อำนาจ ฝึกให้เด็กท่องจำและฝึกทักษะ เป็นการดูแลเด็กและสอนให้เด็กรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการเรียนรู้และตามหลักสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยในแนวก้าวหน้า (Progressive Liberal)
เราจึงจะสามารถพัฒนาเด็กเยาวชนและประชาชนให้เป็นพลเมืองที่มีความฉลาดทางปัญญา ทางอารมณ์ และจิตสำนึกเพื่อสังคมเพิ่มขึ้นได้
ประชาชนที่ตื่นตัวทั้งหลายต้องพยายามทำในจุดที่แต่ละคน แต่ละหน่วย องค์กร พอทำได้โดยไม่ต้องรอให้ว่าเมื่อไหร่จะมีพรรคการเมืองที่ก้าวหน้าได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล เพราะหลักความจริงทางการเมืองคือประชาชนส่วนใหญ่เป็นแบบไหนก็มักจะได้รัฐบาลแบบนั้น
ถ้าประชาชนไม่ฉลาด เห็นแต่อามิสสินจ้างเล็กน้อยเฉพาะหน้า ก็จะได้รัฐบาลที่ไม่ฉลาด ไม่ซื่อตรง ถ้าประชาชนฉลาดขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รัฐบาลที่ฉลาดขึ้น และหรือเป็นรัฐบาลต้องทำงานภายใต้การควบคุมตรวจสอบดูแลของประชาชนมากขึ้น.