"FPIT" เปิดแผนงานความยั่งยืนปี 67 เดินเครื่องพัฒนา "กรีน บิวดิ้ง" สู่เน็ตซีโร่
"FPIT" เปิดทิศทางขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนปี 67 ตั้งเป้าพัฒนาทุกอาคารให้เป็น "กรีน บิวดิ้ง" ในอีก 3 ปีข้างหน้า สู่เป้าหมายเน็ตซีโร่อย่างยั่งยืน
ความพยายามมุ่งสู่เป้าหมาย "ความยั่งยืน" หรือ "Sustainability" เป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนรวมถึงอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่า 40% ทำให้ภาคธุรกิจเห็นความจำเป็นในการปรับการดำเนินงาน เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยพอร์ตโฟลิโอโรงงาน - คลังสินค้าคุณภาพ ของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPIT ซึ่งมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.4 ล้านตารางเมตร ในทำเลยุทธศาสตร์ เพื่ออุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั่วประเทศไทยกว่า 50 แห่ง ทำให้บริษัทฯ เป็นผู้นำในการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า และครองตำแหน่งผู้นำตลาดด้านสิ่งอำนวยความสะดวกทางโลจิสติกส์แบบครบวงจร โดยยังมีเมกะโปรเจกต์ "เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่" จ่อในไปป์ไลน์ ทำให้ FPIT เป็นที่น่าจับตามองของอุตสาหกรรม ซึ่ง FPIT ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้ภาคอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมด้วยการยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG (Environment, Social, Governance)
โสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPIT ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของอาเซียน เผยถึงแนวคิดในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวทางความยั่งยืนว่า ก่อนหน้านี้การพัฒนาโครงการต่างๆ จะคำนึงถึงเรื่องต้นทุนและความรวดเร็วในการก่อสร้าง แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้นกับธุรกิจ ส่งผลให้ FPIT ได้ปรับตัวชี้วัดที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรมคือ Resilience มีความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และ Agility เปลี่ยนแปลงให้ทันซัพพลายเชน รวมถึง Sustainability เดินตามแนวทางความยั่งยืน ซึ่งนำมาสู่การขับเคลื่อนแนวคิด Smart and Sustainable ในการทำธุรกิจ
ทั้งนี้ ได้มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน อันสอดรับกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ทั่วโลก ได้แก่
- ลดปริมาณการกล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050
- จัดทำแผนการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบต่างๆ ด้านสภาพภูมิอากาศ ภายในปี 2024 โดยอยู่ระหว่างการทำแผนเตรียมการกรณีได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงมีการนำ Carbon Pricing เข้าไปเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการด้วย
- ภายในปี 2024 กว่า 80% ของทรัพย์สินที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของและอยู่ภายใต้การบริหารจัดการต้องได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งการปรับปรุงอาคารเดิมและอาคารใหม่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว
- สนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ยั่งยืนในพอร์ตโฟลิโอ ด้วยการจัดหาเงินกู้สีเขียว (Green Loan) เพื่อส่งเสริมการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมภายในปี 2024 ซึ่งขณะนี้ บางธนาคารได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับนำมาลงทุนพัฒนา อาคารสีเขียว แล้ว
- ฝึกอบรมด้านความยั่งยืนให้แก่พนักงาน ซึ่งดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายในปี 2021 เพื่อพาองค์กรไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนที่วางไว้ บริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานด้านต่างๆ ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างองค์กรให้มั่นคง เริ่มจากพัฒนาธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ มีกำลังผลิต 3.54 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 เมกะวัตต์ในปีหน้า ซึ่งนอกจากจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์แล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ระยะยาวเพิ่มให้กับบริษัทฯ อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ได้เปลี่ยนหลอดไฟรุ่นเก่าในอาคารเป็นหลอดไฟ LED จำนวน 3,251 ดวง และมีกิจกรรมประหยัดพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์มากกว่า 3,000 ตัน ในขณะที่อาคารโรงงาน - คลังสินค้าใหม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานอาคารเขียวแล้วกว่า 500,000 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการรอรับการรับรองอีกกว่า 220,000 ตารางเมตร รวมถึงอยู่ระหว่างเดินหน้าปรับปรุงโลจิสติกส์ปาร์ค (Park Enhancement Initiative) เพื่อตอบโจทย์การทำงานของลูกค้าและตอบรับกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โสภณ กล่าวว่า ปัจจุบัน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) มีสัดส่วนอาคารที่ได้รับมาตรฐาน LEED อยู่ที่ 50% ของพอร์ตโฟลิโอ พร้อมมีนโยบายชัดเจนว่า การก่อสร้างอาคารใหม่จะต้องเป็นอาคารเขียว หรือได้รับ Green Certification เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาอาคารตามมาตรฐาน LEED โดยเฉพาะซึ่งประเมินแล้วว่าจะสามารถลดต้นทุนหรือประหยัดพลังงานให้ลูกค้าได้ 3-5% ต่อเดือน
นอกจากนี้ จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ลูกค้าเริ่มปรับมาใช้รถอีวีบ้างแล้ว โดยเฉพาะรถกระบะเพื่อรับ - ส่งของในพื้นที่โลจิสติกส์ปาร์ค ซึ่งบริษัทเตรียมลงทุนสถานีชาร์จอีวีรองรับการใช้งาน พร้อมกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อดึง พลังงานสะอาด มาใช้อีกด้วย
ทั้งนี้ FPIT มีข้อเสนอด้าน Green Lease Agreement ให้แก่ผู้เช่าเพื่อสนับสนุนให้องค์กรที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนได้มีโอกาสใช้โรงงาน - คลังสินค้าประสิทธิภาพสูงที่มีโซลาร์เซลล์และหลอดไฟ LED ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเป็นการร่วมสร้างการเติบโตด้านความยั่งยืนไปพร้อมกับผู้มีส่วนได้เสีย
"FPIT ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน (Responsible Investment) จึงมั่นใจได้ว่าทุกอาคารโรงงาน - คลังสินค้า และโครงการใหม่ จะได้รับการพัฒนาโดยคำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น นอกจากนี้ ยังพร้อมตอบสนองทุกความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้าอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญบริษัทฯ ให้คุณค่าต่อการสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงได้แสวงหาโอกาสในการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว" โสภณ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าปี 2566 จะสร้างอาคารใหม่พื้นที่ 1.5 แสนตารางเมตร เช่นเดียวกับปีที่แล้วซึ่งปิดการขายได้ตามเป้า เพราะยังมีดีมานด์ในตลาดอีกมาก โดยจากการมุ่งเป้าการพัฒนาธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนนั้นสามารถสร้างองค์กรให้โดดเด่นสำหรับลูกค้าที่สนใจเรื่องความยั่งยืน พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ จากการพัฒนาไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ อย่างธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงเป็นการแสดงจุดยืนถึงการเป็นบริษัทฯ ที่เป็นพลเมืองโลกที่ดี ซึ่งส่งมอบประสบการณ์การใช้อาคารที่ดีให้กับลูกค้า และร่วมพัฒนาสังคมโดยรอบ
โสภณ กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นในการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ เพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ส่งผลให้ปี 2565 บริษัทฯ ได้รับรางวัลด้านต่างๆ ได้แก่
- รางวัลผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย ประจำปี 2022 จาก Real Estate Asia Awards
- รางวัลผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย ประจำปี 2022 และรางวัลพิเศษ ด้านการออกแบบและพัฒนาโครงการตามแนวทางความยั่งยืน จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2022
- รางวัลผู้นำด้านการพัฒนาคลังสินค้าที่ยั่งยืน ประจำปี 2022 จาก Frost & Sullivan
นอกจากนั้น FPIT ยังเป็นผู้ประกอบการรายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอาคารได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ในเวอร์ชันใหม่ล่าสุด หรือเวอร์ชัน 4.1 ขณะที่ FTREIT ได้รับการจัดอันดับมาตรฐานในระดับ A ด้านการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทฯ ในหมวด Southeast Asia Diversified Business ตามมาตรฐานของ GRESB (Global Real Estate Sustainability Benchmark)
"FPIT ตั้งเป้าว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า ทุกอาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของเราจะต้องเป็น Green Building โดยมุ่งให้ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED ในระดับ Gold และ Platinum รวมถึงพัฒนาสภาพแวดล้อมของโลจิสติกส์ปาร์ค และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานให้ครอบคลุมมากที่สุด เป็นการเน้นย้ำถึงการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง" โสภณ กล่าวสรุป